
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลง หนุนโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมช่วงปลายปี โดยยอดค้าปลีกโต 4.26% YoY ในเดือนกันยายน ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ 5.02% ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายนปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนที่ 88.7 ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 พฤศจิกายน อยู่ที่ 1.960 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่ 1.953 ล้านราย
แม้ว่าข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมจะถูกเลื่อนการประกาศออกไปเป็นช่วงกลางเดือนธันวาคม แต่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นที่ประกาศล่าสุดสะท้อนการอ่อนแอลงของความเชื่อมั่น การใช้จ่าย ตลาดแรงงาน และภาคอสังหาฯ สอดคล้องกับรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Beige Book) ที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานและการบริโภคชะลอลงในช่วงต้นเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมวันที่ 9-10 ธันวาคมนี้

นโยบายการคลังเชิงรุกและแผนปรับขึ้นค่าจ้าง หนุนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปีหน้า ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) เพิ่มขึ้น 2.7% YoY เทียบกับเดือนก่อนที่ 2.8% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core Tokyo CPI) เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับเดือนก่อนที่ 2.8% ขณะที่ยอดค้าปลีกโต 1.7% YoY ในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 0.2% นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างงบประมาณเพิ่มเติมประจำปี 2568 วงเงิน 18.3 ล้านล้านเยน เพื่อนำไปใช้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอ แต่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวในปีหน้า เนื่องจาก (i) การเติบโตของค่าจ้างที่มีความต่อเนื่องหลังสหภาพแรงงานของญี่ปุ่น (Rengo) เสนอปรับขึ้นค่าจ้างอีกอย่างน้อย 5% ในปี 2569 (ii) แรงกดดันเงินเฟ้อที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงจากราคาพลังงานที่ต่ำและมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล และ (iii) ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแก้ปัญหาเงินเฟ้อและส่งเสริมการลงทุน ขณะที่ผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ อาจน้อยกว่าหลายประเทศ เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่สหรัฐฯ เก็บกับญี่ปุ่นต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม อาจต้องระวังความเสี่ยงจากประเด็นความขัดแย้งกับจีนซึ่งอาจกระทบกับภาคการท่องเที่ยวและส่งออกได้ในระยะข้างหน้า

สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดย PMI ภาคการผลิตอยู่โซนการหดตัวติดต่อกันนาน 8 เดือนที่ 49.2 ในเดือนพฤศจิกายนจาก 49 ในเดือนตุลาคม ส่วน PMI ภาคบริการพลิกกลับมาอยู่ในโซนหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีจาก 50.2 เป็น 49.5 ขณะที่กำไรภาคอุตสาหกรรมเติบโตชะลอลงจาก 3.2% YoY ในช่วง 9 เดือนแรกเป็น 1.9% ในช่วง 10 เดือนแรก อีกด้านหนึ่ง บริษัท Vanke ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายสำคัญ เตรียมชะลอการชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 2 พันล้านหยวน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 ธันวาคมนี้
ภาคการผลิตยังคงอ่อนแอ ส่วนภาคบริการที่เคยหนุนเศรษฐกิจได้กลับส่งสัญญาณอ่อนแรงลง ขณะที่การฟื้นตัวของภาคการบริโภคยังไม่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่ามาตรการกระตุ้นในระยะที่ผ่านมาให้ผลในระยะสั้นเท่านั้น โดยปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ยังฉุดรั้งการบริโภคก็คือ วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ และความเชื่อมั่นที่ยังอ่อนแอ ภายใต้สถานการณ์ที่ภาคการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลง หากรัฐบาลไม่สามารถเร่งแก้วิกฤตภาคอสังหาฯ หรือกระตุ้นการบริโภคได้มากพอ ภาคการผลิตอาจซบเซาต่อเนื่อง และอาจซ้ำเติมปัญหาอุปทานส่วนเกินต่อไป ทั้งนี้ แม้มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมมีความจำเป็นต่อการบรรเทาภาวะชะลอตัวทางเศษฐกิจในระยะข้างหน้า แต่อาจถูกจำกัดจากความกังวลด้านปัญหาหนี้สินของรัฐบาล


ภาคท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกบางกลุ่มช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้าย แต่เผชิญผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยทางภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจเดือนตุลาคม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายรับที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+11.0% และ +1.9% MoM sa ตามลำดับ) ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกหมวด (+1.3%) สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+0.7%) ตามการขยายตัวของการส่งออกในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัว (-1.1%) จากการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นหลัก
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีมีสัญญาณฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนจาก (i) การท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วง High season (ii) มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเติมเงินให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งล้วนช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัวต่อเนื่อง และ (iii) การส่งออก กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังคงเผชิญแรงกดดันจากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังอ่อนแรง และความเสี่ยงจากสถานการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัดภาคใต้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในบางพื้นที่ โดยวิจัยกรุงศรีได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจภายใต้ 3 กรณี ได้แก่ (i) กรณีเลวร้ายน้อยสุด หากภาคธุรกิจและบริการต้องหยุดดำเนินการรวมถึงใช้เวลาฟื้นฟูรวม 15 วัน คาดว่าความเสียหายจะอยู่ที่ประมาณ 11.8 พันล้านบาท (ii) กรณีฐาน หากการหยุดชะงักและการฟื้นฟูใช้เวลารวม 25 วัน ความเสียหายจะอยู่ที่ประมาณ 19.7 พันล้านบาท และ (iii) กรณีเลวร้ายสุด หากสถานการณ์ยืดเยื้อถึง 30 วัน มูลค่าความเสียหายอาจเพิ่มขึ้นเป็น 23.6 พันล้านบาท

ส่งออกเดือนตุลาคมแม้อัตราเติบโตชะลอลง แต่ยังมีมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบปี กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 28.8 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.7% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ การส่งออกเติบโต 15.7% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรยังคงหดตัวต่อเนื่อง อาทิ ข้าว ยางพารา และผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว ได้แก่ สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียน-5 สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 283 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.0%
แม้การส่งออกไทยในเดือนตุลาคมจะเติบโตชะลอลงเหลือเลขหลักเดียวและเป็นอัตราที่ต่ำสุดของปีนี้ แต่ด้วยมูลค่าส่งออกที่สูงถึง 28.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนในช่วง 10 เดือนแรกของปีที่ 28.3 พันล้านดอลลาร์ ปัจจัยบวกจากอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่งในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีแม้การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลง แต่จากมูลค่าการส่งออกสะสมในช่วง 10 เดือนแรกที่เติบโตสูง เป็นผลให้ทั้งปีการส่งออกอาจจะขยายตัวสูงเกินคาดที่ราว 11% สำหรับในปี 2569 การส่งออกสินค้าของไทยจะได้รับผลกระทบทั้งจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯสู่อัตรา 19% และการขึ้นภาษีนำเข้ารายสินค้าตลอดปี อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่มาตรการภาษีศุลกากรอาจขยายครอบคลุมไปยังสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มเติมซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ประกอบกับการชะลอตัวของการค้าโลกซึ่ง WTO คาดว่าจะเติบโตเพียง 0.5% ในปี 2569 ชะลอลงจาก 2.4% ในปี 2568 ปัจจัยเหล่านี้อาจฉุดการส่งออกไทยในปีหน้าให้กลับมาติดลบหลังจากเติบโตเกินคาดในปีนี้
