ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

16 ธันวาคม 2568

Weekly Economic Review

ในปี 2569 เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้จำกัดภายใต้เศรษฐกิจที่ยังคงเติบโต ขณะที่ญี่ปุ่นมีหลายปัจจัยหนุนการฟื้นตัวที่คาดไปสู่การขึ้นดอกเบี้ย ด้านจีนเผชิญทั้งศึกนอกและศึกใน
 

สหรัฐฯ

 

เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด แต่ทิศทางปีหน้ายังคงไม่ชัดเจน ในการประชุมวันที่ 9-10 ธันวาคม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติ 9 ต่อ 3 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% พร้อมประกาศว่าจะกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม นอกจากนี้ ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2568 และ 2569 จาก 1.6% และ 1.9% สู่ระดับ 1.7% และ 2.3% ตามลำดับ ขณะที่การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ชี้ว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในปี 2569 และอีก 0.25% ในปี 2570 สู่ระดับเป้าหมายระยะยาวที่ 3%

แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการชะลอตัวที่รุนแรง สะท้อนจากการบริโภคที่เติบโต ตลาดแรงงานที่ยังมีเสถียรภาพ และการขยายตัวของภาคบริการที่แข็งแกร่ง รวมถึงแรงหนุนจากนโยบายการคลังและการลงทุนในเทคโนโลยี AI นอกจากนี้ แผนการซื้อตั๋วเงินคลังเดือนละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ของเฟดยังช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดการเงิน เมื่อประกอบกับการลดดอกเบี้ยในช่วงก่อนหน้านี้คาดว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดทอนความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าเฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียง 1 ครั้งในปี 2569

 

Weekly Economic Review
 

ญี่ปุ่น

 

แม้ตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอ่อนแอในไตรมาส 3 แต่หลายปัจจัยยังหนุนโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเดือนธันวาคม ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนี PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 อยู่ที่ 48.7 ส่วน PMI ภาคบริการยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 อยู่ที่ 53.2 ในส่วนของ GDP ไตรมาส 3 หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาสอยู่ที่ -0.6% QoQ จากการลงทุนภาคธุรกิจที่ชะลอตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการส่งออกที่อ่อนแรงต่อเนื่อง ขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนหดตัวแรงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ที่ -3.0% YoY

เศรษฐกิจญี่ปุ่นพลิกหดตัวในไตรมาส 3 จากการใช้จ่ายภาคธุรกิจที่ลดลงและการบริโภคที่ยังถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไปคาดว่าจะทยอยปรับดีขึ้นจากแรงหนุนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทาคาอิจิมูลค่า 21.3 ล้านล้านเยน ใหญ่สุดนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 ผ่านการแก้ปัญหาเงินเฟ้อและส่งเสริมการลงทุน โดยวิจัยกรุงศรีประเมินว่าจากแรงหนุนดังกล่าวผนวกกับเงินเฟ้อที่ยังสูง ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมวันที่ 18-19 ธันวาคมนี้
 

Weekly Economic Review
 

จีน
 

เศรษฐกิจจีน ภายในอ่อนแอ ภายนอกเสี่ยงสูง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% YoY นานติดต่อกันกว่า 30 เดือน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตหดตัวติดต่อกันนานเกือบ 4 ปี (ดังรูป) อีกด้านหนึ่ง การส่งออกพลิกกลับมาขยายตัวอีกครั้งจาก -1.1% ในเดือนตุลาคมเป็น 5.9% ในเดือนพฤศจิกายน โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัวแรงขึ้นจาก -25.2% เป็น -28.6% แม้จีนและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สวนทางกับการส่งออกไปยังคู่ค้าอื่นที่ยังขยายตัวได้ดี เช่น สหภาพยุโรป (14.8%) อาเซียน (8.2%) และแอฟริกา (27.6%)

เศรษฐกิจภายในประเทศยังไร้สัญญาณการฟื้นตัวในระยะอันใกล้ ขณะที่ภาคการส่งออก ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมา เสี่ยงเผชิญกระแสการปกป้องทางการค้าที่รุนแรงขึ้น ล่าสุดเม็กซิโกได้ลงมติเห็นชอบมาตรการภาษีนำเข้ากับชาติเอเชีย ซึ่งสูงถึง 50% ในบางสินค้า ขณะที่สหภาพยุโรปอาจพิจารณาขึ้นภาษีกับจีน ด้านรัฐบาลจีนยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการกระตุ้นการบริโภค และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ (New Quality Productive Forces) ในปี 2569 อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายดังกล่าวอาจถูกจำกัดด้วยความกังวลต่อปัญหาหนี้สินรัฐบาล อีกทั้งการใช้ “ยาแรง” เพื่อกำจัดอุปทานส่วนเกินอาจกระทบต่อตลาดแรงงาน และซ้ำเติมภาคบริโภคที่ยังคงอ่อนแอ
 

Weekly Economic Review

 

Weekly Economic Review

นโยบายการคลังอาจมีข้อจำกัดในช่วงรัฐบาลรักษาการ การผ่อนคลายนโยบายการเงินจึงน่าจะมีบทบาทมากขึ้นในฐานะ Counter-cyclical policy

 

การยุบสภาล่าสุดส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในหลายแง่มุม เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกิดขึ้นเร็วกว่ากรอบเวลาเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2569 ส่งผลให้วงจรการเมืองไทยวนกลับเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้ง ภายในกรอบเวลา 45–60 วันตามรัฐธรรมนูญ หรือประมาณราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และอาจจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ภายในเดือนพฤษภาคมถึงต้นมิถุนายน 2569

สถานการณ์ทางการเมืองที่เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านได้เพิ่มระดับความไม่แน่นอนด้านนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลรักษาการมีข้อจำกัดในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงการอนุมัติและการเบิกจ่ายงบลงทุนสำหรับโครงการใหม่ของภาครัฐ ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโดยรวมมีแนวโน้มแผ่วลง ขณะเดียวกันการเกิดสุญญากาศทางการเมืองอาจลดทอนศักยภาพในการดำเนินนโยบายด้านการทูตและการเจรจาการค้า ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ภายใต้บริบทดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 อย่างไรก็ดี หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน เศรษฐกิจไทยอาจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การกลับมาขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐ และการเดินหน้าจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเติบโตที่ 1.8% จากประมาณการที่ 2.1% ในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านลบยังคงมีอยู่ หากความไม่แน่นอนทางการเมืองลากยาวหรือการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้ากว่าคาดซึ่งอาจกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
 

Weekly Economic Review
 

คาดกนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ 1.25% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ ท่ามกลางแรงกดดันเศรษฐกิจและการเมือง การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในกลางสัปดาห์นี้ วันที่ 17 ธันวาคม วิจัยกรุงศรีประเมิน กนง.มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.25% ซึ่งจะเป็นการปรับลดเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้ เนื่องจาก (i) เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวชัดเจน หลังจาก GDP ในไตรมาส 3 หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี (–0.6% QoQ sa) สะท้อนการสูญเสียแรงส่งทางเศรษฐกิจ ขณะที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีแม้มีสัญญาณฟื้นตัวโดยได้แรงหนุนระยะสั้นจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน แต่ผลบวกดังกล่าวถูกลดทอนไปบางส่วนจากผลกระทบของอุทกภัยในภาคใต้ (ii) แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 ติดลบเล็กน้อยราว -0.2% และคาดว่าจะยังอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย (1–3%) ตลอดปี 2569 (iii) ด้านเสถียรภาพทางการเงิน ภาคธุรกิจและครัวเรือนยังเผชิญภาระหนี้สูง รวมถึงสินเชื่อภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และ (iv) ล่าสุดปัจจัยทางการเมือง  สถานะของรัฐบาลรักษาการซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนภาครัฐโครงการใหม่ มีแนวโน้มลดทอนแรงส่งเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายปี 2568 ภายใต้ข้อจำกัดของนโยบายการคลังดังกล่าว นโยบายการเงินจึงอาจเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในฐานะ Counter-cyclical policy เพื่อประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน ดังนั้น จึงมีโอกาสสูงขึ้นที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโนบายเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ 1.50% ลงสู่ระดับ 1.00% ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2569
 

Weekly Economic Review
 
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา