บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

16 กันยายน 2568

Weekly Economic Review

FED และ ECB อาจยังคงให้น้ำหนักอัตราเงินเฟ้อในการกำหนดทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ด้านจีนเผชิญศึกรอบด้าน

 

สหรัฐฯ

 

แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวชัดเจน แต่การขยับขึ้นของเงินเฟ้ออาจเป็นอุปสรรคต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 2.7% สู่ระดับ 2.9% YoY ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 3.1% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 263,000 ราย ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 กันยายน สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกันยายนปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ที่ 55.4

เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวที่ต่อเนื่อง อาทิ การจ้างงานนอกภาคเกษตรที่อ่อนแอ อัตราการว่างงานสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รวมถึงตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ซึ่งเพิ่มโอกาสเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มลงได้อีก 2-3 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) นับจากการประชุมเดือนกันยายนจนถึงสิ้นปีนี้ แต่ความเร็วในการปรับลดยังขึ้นอยู่กับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์

 

Weekly Economic Review
 

ยูโรโซน

 

ECB ส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรดอกเบี้ยขาลง ขณะที่ปัญหาการเมืองในฝรั่งเศสมีโอกาสลากยาว  ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.0% ในการประชุมวันที่ 11 กันยายน โดยประธาน ECB ระบุว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมีความสมดุลมากกว่าเดิม พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2568 ขึ้นจาก 0.9% สู่ระดับ 1.2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดไว้ที่ 2.1% ก่อนปรับลดลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ในปี 2569-70

ปัญหาการเมืองในฝรั่งเศสมีโอกาสลากยาวแม้ว่าประธานาธิบดีมาครงแต่งตั้ง เซบาสเตียน เลอคอร์นู รัฐมนตรีกลาโหมเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนนายฟรองซัว เบย์รู ที่เพิ่งลาออกไป แต่การรวบรวมคะแนนเสียงที่จำเป็นต่อการผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ และงบประมาณประจำปียังคงมีความท้าทาย สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากการบริโภคที่ซบเซา ค่าจ้างที่โตชะลอลงต่อเนื่อง 4 ไตรมาส และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลง ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มถูกกดดันมากขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวดังกล่าวยังไม่รุนแรงถึงระดับเสี่ยงต่อภาวะถดถอย เมื่อประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ใกล้เคียงเป้าหมายบริเวณ 2% วิจัยกรุงศรีคาดว่า ECB มีแนวโน้มชะลอการปรับลดดอกเบี้ยออกไปเพื่อรอประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติมหลังจากปรับลดลง 8 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567

 

Weekly Economic Review
 

จีน
 

จีนเผชิญแรงกดดันจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น การส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัวต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 4.4% YoY ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัวเร่งขึ้นจาก -21.7% ในเดือนกรกฎาคมเป็น -33.1% ในเดือนสิงหาคม ส่วนการส่งออกไปยังคู่ค้าสำคัญอื่นยังขยายตัวได้สูง เช่น อาเซียน (+22.5%) และสหภาพยุโรป (+10.4%) ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงต่ำกว่า 1% นานติดต่อกัน 30 เดือน อีกด้านหนึ่ง เม็กซิโกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 50% สำหรับรถยนต์ 35% สำหรับเหล็ก ของเล่นและมอร์เตอร์ไซด์ และ 10-50% สำหรับสิ่งทอ

นอกจากผลเชิงลบของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จีนเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าของชาติพันธมิตรสหรัฐฯ  ขณะเดียวกัน การส่งออกไปยังคู่ค้าสำคัญอื่นอาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยอุปสงค์จากสหรัฐฯ ที่ลดลง อีกทั้งยังเสี่ยงเผชิญภาษีสวมสิทธิ์จากสหรัฐฯ เพิ่มเติม ดังนั้น จีนจำเป็นต้องหันมาพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้นเพื่อพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นการบริโภคอาจให้ผลบวกที่จำกัดเฉพาะในระยะสั้น ขณะที่มาตรการแก้ปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและอุปทานส่วนเกิน ต้องอาศัยเวลาพอสมควรกว่าจะเห็นผลชัดเจน

 

Weekly Economic Review
 

Weekly Economic Review

สถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้นและความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย คาดช่วยหนุนการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ

 

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมร่วงต่ำสุดในรอบ 32 เดือน รัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ที่ 50.1 จาก 51.7 ในเดือนกรกฏาคม เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ (i) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ (สำรวจก่อนมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง) (ii) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และ (iii) ผลกระทบของนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อภาคส่งออกและการจ้างงานในประเทศ

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี เป็นสัญญาณสะท้อนถึงแรงกดดันต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) ซึ่งธปท. รายงานว่าในเดือนกรกฎาคมหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ที่ -0.2% MoM ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า และการลดลงของรายได้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดรัฐบาลชุดใหม่เตรียมนำมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้อีกครั้ง โดยอาจใช้งบประมาณวงเงินราว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเดิมเตรียมไว้ใช้ทำโครงการ Digital Wallet ช่วยพยุงการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้น รวมทั้งช่วยบรรเทาความกังวลของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ SME และธุรกิจรายย่อยที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก โดยภาพรวมน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยยังพอมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่แรงกดดันจากภาคต่างประเทศส่งผลต่อการส่งออกชัดเจนขึ้น

Weekly Economic Review
 


 

นายกรัฐมนตรีเตรียมขับเคลื่อน 4 นโยบายสำคัญ ท่ามกลางข้อจำกัดทางด้านเวลา  นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีได้ระบุถึงนโยบายสำคัญ 4 ด้าน ที่จะเร่งดำเนินการในช่วงบริหารประเทศ ได้แก่ (i) ด้านเศรษฐกิจ: ลดค่าครองชีพด้านพลังงานและการเดินทาง แก้ปัญหาหนี้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย พร้อมสร้างรายได้ให้ชุมชนฐานราก (ii) ด้านความมั่นคง  แก้ปัญหาความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาด้วยสันติวิธี ยึดหลักไม่เสียดินแดน ไม่เสียประโยชน์ และชดเชยผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง (ii) ด้านภัยธรรมชาติ:  จัดทำระบบเตือนภัย ป้องกัน เยียวยา และชดเชยความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และ (iv) ด้านภัยสังคม: ปราบปรามยาเสพติด ค้ามนุษย์ การพนัน และสแกมเมอร์ โดยสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

บรรยากาศทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น และการแถลงทิศทางนโยบายด้านต่างๆ ข้างต้น คาดว่าจะช่วยหนุนให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญคือ การคำนึงถึงประสิทธิผลของนโยบายและการทำให้นโยบายเหล่านี้เกิดผลจริงในระยะเวลาอันสั้น ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ และสถานะของรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อาจกระทบต่อการผลักดันบางนโยบาย ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินนโยบาย รวมทั้งการทำในสิ่งที่เร่งด่วนและเห็นผลได้เร็ว ควบคู่กับการวางรากฐานในระยะข้างหน้า น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางแรงกดดันที่มากขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศ
 

Weekly Economic Review
 

 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา