เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากผลของมาตรการภาษีศุลกากร ส่วนภาคอสังหาฯจีนยังกดดันเศรษฐกิจต่อเนื่อง
สหรัฐ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวชัดเจนขึ้น แต่คาดเฟดไม่รีบลดดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม การใช้จ่ายผู้บริโภคลดลง -0.1% MoM ในเดือนพฤษภาคม โดยการใช้จ่ายด้านสินค้าร่วงลงถึง -0.8% ส่วนด้านบริการเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2563 ขณะเดียวกัน ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (headline PCE) เพิ่มขึ้น 2.3% YoY ขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 2.2% ในเดือนเมษายน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ เผยว่าอาจขยายเวลาการระงับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ต่อประเทศคู่ค้าจากเดิมที่กำลังจะหมดอายุในวันที่ 9 กรกฎาคม ขณะที่จีนบรรลุข้อตกลงในการเร่งจัดส่งแร่หายากให้กับสหรัฐฯ
แม้มีความพยายามจะลดความตึงเครียดทางการค้า แต่จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีการค้าต่อทิศทางเงินเฟ้อคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความเสี่ยงต่อการชะลอตัวที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากนโยบายภาษีการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัว บ่งชี้ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2-3 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้

ยูโรโซน
เงินเฟ้อที่ต่ำกว่า 2% คาดเปิดทาง ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง ในเดือนมิถุนายน ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นอยู่ที่ 49.4 หดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ส่วน PMI ภาคบริการกลับมาขยายตัวอยู่ที่ 50 จากที่หดตัว 49.7 ในเดือนก่อน ขณะเดียวกัน ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด เรียกร้องให้รัฐสภายุโรปเร่งออกกฎหมายรองรับ Digital Euro โดยชี้ถึงความจำเป็นในการรักษาอธิปไตยทางการเงิน ท่ามกลางความเคลื่อนไหวด้าน stablecoins ของสหรัฐฯ
แม้ความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยยังอยู่ในระดับต่ำจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง แต่ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจคาดว่าจะยังคงอ่อนแอในปีนี้จากแรงกดดันภายนอกผ่านนโยบายปรับขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงแรงกดดันภายในที่มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ สัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และภาระหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ จากภาพดังกล่าวภายใต้อัตราเงินเฟ้อที่ลงต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% วิจัยกรุงศรีคาด ECB มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้ง สู่ระดับ 1.50-1.75% ภายในสิ้นปีนี้

จีน
ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังอ่อนแอ ขณะที่ภาครัฐกระตุ้นภาคการบริโภคเพื่อพยุงเศรษฐกิจโดยรวม ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 อันดับแรกหดตัวต่อเนื่องที่ -8.6% YoY ในเดือนพฤษภาคมจาก -8.7% ในเดือนเมษายน ส่วนราคาบ้านใหม่และบ้านมือสองเฉลี่ยใน 70 เมืองหดตัวต่อเนื่องนานกว่า 3 ปี ขณะที่รายได้จากการขายที่ดินของรัฐบาลหดตัวถึง -14.6% ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าแนวโน้มการฟื้นตัวในภาคอสังหาฯ ยังไม่ปรากฏให้เห็นชัดเจน แม้ปรับตัวดีขึ้นบ้างในช่วงต้นปี ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการช่วยเหลือที่ผ่านมาอาจไม่เพียงพอที่จะรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัว ขณะเดียวกันอุปสงค์ในตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มลดลงในระยะยาวตามประชากรที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ทั้งนี้ ท่ามกลางปัญหาอุปทานส่วนเกินในภาคอสังหาฯและภาคการผลิต รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลจึงพยายามกระตุ้นภาคการบริโภคเพื่อพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ประกาศแนวทาง 19 ประการเพิ่มเติม โดยเน้นเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ธุรกิจภาคบริการ เช่น ค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหาร กีฬา บันเทิง และท่องเที่ยว


วิจัยกรุงศรีคาดกนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวท่ามกลางแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศ
กนง.คงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% ชี้ให้ความสำคัญของจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงิน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 มิถุนายน มีมติ 6 ต่อ 1 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% โดยประเมินการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาสามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 สู่ระดับ 2.3% จากเดิมคาด 2.0% ส่วนหนึ่งเนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปีภาคการผลิตและการส่งออกเติบโตดีกว่าคาด แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนปี 2569 คาดว่าจะขยายตัว 1.7% จากเดิมคาด 1.8%
การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้อาจชี้ถึงความจำเป็นในการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด หลังจากมีการปรับลดอัตราดอก เบี้ยต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์และเมษายนที่ผ่านมา กนง.เน้นย้ำถึง “ความสำคัญของจังหวะเวลาและประสิทธิภาพของนโยบายการเงินภายใต้บริบทที่มีความไม่แน่นอนสูงและนโยบายที่มีขีดจำกัด” วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่ากนง.อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1–2 ครั้งในการประชุมในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจาก (i) เศรษฐกิจมีสัญญาณชะลอตัวแรงขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยธปท.คาดว่าจะเติบโตเพียง 0.1% QoQ ในครึ่งหลังของปี (ii) ภาวะการเงินที่ตึงตัว (สะท้อนจากสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่หดตัวต่อเนื่อง) กอปรกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% (ธปท.คาดไว้ที่ 0.5%) และ (iii) กนง.ระบุว่า“พร้อมปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป” ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อให้กนง.อาจมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม

แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น 1.15 แสนล้านบาท แต่สถานการณ์การเมืองในประเทศสร้างความกังวลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม) ในวันที่ 24 มิถุนายน มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวม 115,375 ล้านบาท (จากงบกลาง 157,000 ล้านบาท) ประกอบด้วยโครงการสำคัญ 4 ด้าน คือ (i) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (ii) ด้านการท่องเที่ยว (iii) ด้านลดผลกระทบในภาคส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล และ (iv) ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ เบื้องต้นรัฐบาลคาดการณ์ว่าภายใต้งบฯดังกล่าวจะช่วยหนุนเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4%
แม้มาตรการดังกล่าวจะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อภาคเศรษฐกิจในระยะสั้นก็ตาม แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการดำเนินการ โดยเฉพาะความไม่ชัดเจนในด้านกลไกการเบิกจ่ายและช่วงเวลาที่เม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในการผลักดันนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะกระบวนการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งหากไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด (โดยทั่วไปจะอนุมัติภายในเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน) จะกระทบต่อความเชื่อมั่น และอาจทำให้แรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐสะดุดลง โดยเฉพาะในส่วนของโครงการลงทุนใหม่ของรัฐที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว
