บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

05 สิงหาคม 2568

Weekly Economic Review

ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจโลก คาดว่าจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านจีนยังเผชิญแรงกดดันจากภายในและภายนอก

 

สหรัฐฯ

 

ตัวเลขการจ้างงานที่แย่กว่าคาด หนุนโอกาสเฟดปรับลดดอกเบี้ยต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติ 9-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% พร้อมระบุว่านโยบายการเงินในปัจุบันมีความเหมาะสมต่อการรับมือกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดที่ 73,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม อีกทั้งมีการปรับลดตัวเลขในเดือนมิถุนายนอย่างมากจาก 147,000 ตำแหน่ง สู่ 14,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยสุดในรอบเกือบ 5 ปี ขณะที่อัตราการว่างงานขยับขึ้นจากเดือนก่อนที่ 4.1% สู่ระดับ 4.2% บ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่ชะลอตัวแรงขึ้น

แม้ว่าสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีศุลกากรใหม่ในวันที่ 31 กรกฎาคม สำหรับประเทศคู่ค้าทั่วโลกในอัตรา 10-40% ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่เคยประกาศเมื่อเดือนเมษายน แต่อัตราภาษีใหม่ที่เก็บกับประเทศส่วนใหญ่สูงกว่าในช่วงที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะถัดไป ตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแรงและอุปสงค์ภายในประเทศในไตรมาส 2 โตต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกประมาณ 2 ครั้งในปีนี้


Weekly Economic Review
 

ญี่ปุ่น

 

BOJ คงดอกเบี้ยพร้อมปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้ขึ้นจาก 2.2% สู่ระดับ 2.7% ขณะที่ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้ขึ้นจากเดิมที่ 0.5% สู่ 0.6% นอกจากนี้ ในเดือนมิถุนายน ยอดค้าปลีกขยายตัว 2.0% YoY จากเดือนก่อนที่ 1.9% ขณะที่อัตราส่วนตำแหน่งงานต่อจำนวนผู้สมัครงานยังคงลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับ 1.22 ในเดือนมิถุนายน

แม้ว่าความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยจะลดลงหลังบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยอัตราภาษีใหม่อยู่ที่ 15% ซึ่งลดลงจากเดิมที่ถูกขู่ว่าจะเก็บในอัตรา 25% และต่ำกว่าอีกหลายประเทศที่ถูกเก็บในอัตรา 19-40% แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มเติบโตต่ำท่ามกลางการส่งออกที่คาดว่าจะชะลอตัวจากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ความเสี่ยงเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองยังกดดันความเชื่อมั่นเนื่องจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยกำลังเผชิญอุปสรรคในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ หรือมีโอกาสเกิดสุญญากาศทางการเมือง ทั้งนี้ จากเศรษฐกิจที่โตต่ำและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังสูง วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% จนถึงสิ้นปีนี้


Weekly Economic Review
 

จีน
 

จีนเตรียมยกระดับมาตรการ Anti-involution ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน ทางการ (NBS) รายงาน PMI ภาคการผลิต ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ และดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกในเดือนกรกฎาคมหดตัวลงค่อนข้างมาก (ดังรูป) ส่วน PMI ภาคบริการชะลอลง แม้ยังอยู่ในโซนการขยายตัว ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่หดตัวแรงขึ้นจาก -22.8% YoY ในเดือนมิถุนายนเป็น -24% ในเดือนกรกฎาคม

ดัชนี PMI ล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจจีนในภาพรวมยังคงเปราะบาง และอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะสงครามการค้า ขณะที่ความอ่อนแอในภาคอสังหาฯ ยังคงฉุดรั้งความมั่งคั่งของประชาชน และเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่บั่นทอนความเชื่อมั่นและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค แม้มาตรการอุดหนุนการแลกซื้อสินค้าใหม่อาจช่วยกระตุ้นการบริโภคได้บ้าง แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ ความกังวลต่อความมั่นคงในอาชีพและการหารายได้ ส่วนการอุดหนุนด้านสวัสดิการสังคมและการยกระดับมาตรการ Anti-involution เพื่อเร่งควบคุมการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรง คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ค่อยๆ หนุนการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค และบรรเทาปัญหาอุปทานส่วนเกินได้ในบางอุตสาหกรรม ล่าสุด รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมในช่วงครึ่งปีแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 5.7 ล้านล้านหยวน

 

Weekly Economic Review

 

Weekly Economic Review

จับตาดีลการค้าไทย-สหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยชี้ถึงแนวโน้มการลงทุนและการส่งออกไทย

 

เศรษฐกิจในเดือนมิถุนายนชะลอลงจากเดือนก่อนตามภาคท่องเที่ยวและการบริโภคที่แผ่วลง แต่ภาพรวมในไตรมาส 2 ยังเติบโตจากไตรมาสก่อน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนมิถุนายน จำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวลงจากเดือนก่อน (-2.8% และ -2.1%  MoM sa) ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนที่แผ่วลงต่อเนื่อง (-0.3%) จากการหดตัวของการบริโภคในหมวดบริการและหมวดสินค้าคงทนในกลุ่มยานยนต์ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำลดลง (-4.8%) อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว (+0.7%) และการใช้จ่ายของภาครัฐขยายตัวจากปีก่อนทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน

แม้เศรษฐกิจเดือนมิถุนายนจะชะลอลง แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมไตรมาส 2 (เดือนเมษายน–มิถุนายน) เครื่องชี้เศรษฐกิจหลายรายการยังคงเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะการส่งออกที่ขยายตัวสูงถึง 15.0% YoY การผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวที่ 1.5% และการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัว ขณะที่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวชะลอลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจเติบโตที่ +0.4% QoQ sa หรือ +2.7% YoY (ชะลอลงจาก +0.7% QoQ sa หรือ +3.1% YoY ในไตรมาส 1) ข้อมูล GDP ในไตรมาส 2 ทางการจะรายงานในวันที่ 18 สิงหาคมนี้

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงชัดเจนยิ่งขึ้น โดยอัตราการเติบโตอาจลดลงเหลือเพียง 1.4% จากประมาณการ 2.9% ในครึ่งปีแรก สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ชะลอลง หลังผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เริ่มปรากฏชัด ประกอบกับแรงส่งจากคำสั่งซื้อที่เร่งส่งออกในช่วงก่อนหน้าได้สิ้นสุดลง ขณะเดียวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นและกดดันการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง

Weekly Economic Review
 

 

สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 19% วิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์ GDP ปี 2568 ขยายตัวที่ 2.1% เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม  สหรัฐฯประกาศว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าไทยในอัตรา 19% ลดลงจาก 36% ที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายน และเป็นอัตราภาษีที่เท่ากับหลายประเทศในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมนี้

วิจัยกรุงศรีประเมินภายใต้อัตราภาษีนำเข้าที่ระดับ 19%  จะทำให้ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอาจลดความรุนแรงลงถึง 9 เท่าเมื่อเทียบกับกรณีหากถูกเก็บในอัตราภาษีตอบโต้ 36% (จากรูป) นอกจากนี้  อัตราภาษีล่าสุดที่ 19% นี้ นับว่าสอดคล้องและใกล้เคียงกับสมมติฐานในกรณีฐานของวิจัยกรุงศรีซึ่งใช้อัตรา 20% ในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP ไทยในปีนี้ไว้ที่ 2.1% โดยคาดว่าการส่งออกในปีนี้จะเติบโตเพียง 3.5% ซึ่งชะลอลงมากจากขยายตัวถึง 15% ในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ยังต้องติดตามและประเมินเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิด คือ ข้อแลกเปลี่ยนทางการค้าที่อาจผูกพันกับการที่ไทยปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือศูนย์ในหลายรายการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงโครงสร้างในระยะยาวโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อการแข่งขันจากสินค้านำเข้า

ทั้งนี้ นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่ไม่รุนแรงเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อภาพรวมประมาณการเศรษฐกิจของไทย สะท้อนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 มาอยู่ที่ 2.0% และ 2.2% จากเดิมคาดที่ 1.8% และ 2.1% ตามลำดับ


Weekly Economic Review

 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา