บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

17 มิถุนายน 2568

ผลกระทบจากมาตรการภาษีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่น คาดว่าจะเห็นชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านเศรษฐกิจจีนเสี่ยงชะลอตัวหากไร้มาตรการกระตุ้นเพิ่ม

 

สหรัฐ

 

แม้สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าเบื้องต้น แต่ผลจากมาตรการภาษีนำเข้าจะยังคงกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม ขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ 2.4% YoY จากเดือนก่อนที่ 2.3% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวที่ 2.8% ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นสู่ 60.5 จาก 52.2 

สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับจีน พร้อมยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากซึ่งมีความสำคัญต่อกลุ่มอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงยุทโธปกรณ์ทางทหาร อย่างไรก็ตาม ประเด็นข้อพิพาททางกฎหมายเกี่ยวกับภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ของรัฐบาลทรัมป์ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมาตรการภาษีนำเข้า โดยอาจมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารายสินค้าและรายประเทศผ่านกฎหมายอื่นๆ เช่น มาตรา 232, 301, และ 122 ซึ่งจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะถัดไป วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 17-18 มิถุนายน เพื่อรอความชัดเจนจากมาตรการภาษีการค้า นอกจากนี้ ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้นและทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูง อาจกดดันเงินเฟ้อและสร้างความยุ่งยากในการปรับนโยบายการเงินในระยะถัดไป


 

ญี่ปุ่น

 

ภาคบริการอาจช่วยหนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ความเสี่ยงทางการค้าคาดยังคงกดดันการเติบโตในภาพรวม ญี่ปุ่นปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไตรมาส 1 เป็นหดตัว -0.2% YoY จากเดิมที่ -0.7% จากแรงหนุนของการบริโภคและสต็อกสินค้าคงคลังที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดใหญ่ปรับลดลงจาก +2.0 ลงมาที่ -1.9 ในไตรมาส 2 ซึ่งหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส จากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มโตต่ำต่อเนื่องในปี 2568 แม้ว่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น มาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและก๊าซ การระบายข้าวในสต็อกเพื่อลดเงินเฟ้อ รวมถึงการขยายตัวของภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตและส่งออกคาดว่าจะถูกกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งกรณีการเก็บภาษีตอบโต้หรือการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารายสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่า BOJ จะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้เพื่อประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างน้อยจนถึงช่วงปลายปีนี้


 

จีน
 

เศรษฐกิจจีนเผชิญแรงกดดันจากภายในและภายนอกต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังต่ำกว่า 1% YoY ติดต่อกัน 27 เดือน ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตติดลบแรงขึ้นจาก -2.7% ในเดือนเมษายนเป็น -3.3% ในเดือนพฤษภาคม โดยติดลบนานกว่า 30 เดือน อีกด้านหนึ่ง การส่งออกรวมขยายตัวชะลอลงจาก 8.1% เป็น 4.8% ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัวแรงขึ้นจาก -21% เป็น -34.5%

ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่า ภาวะอุปทานส่วนเกินยังคงกดดันเศรษฐกิจจีนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความขัดแย้งทางการค้ายังมีความเสี่ยงอยู่มากแม้การเก็บภาษีแบบตอบโต้อาจเผชิญข้อจำกัดทางกฎหมาย โดยสหรัฐฯ อาจหันไปใช้กฎหมายการค้าอื่น เช่น การเพิ่มรายการสินค้าและเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 วิจัยกรุงศรีพบว่าการใช้มาตรา 232 อาจทำให้การส่งออกจีนหายไปถึง -3.1% ใกลัเคียงกับผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้าในปัจจุบันที่ -3.4% อีกทั้งผลลบต่อบางอุตสาหกรรมจะรุนแรงขึ้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า (แรงขึ้น 1.7 เท่า) นอกจากนี้ ยังอาจกดดันให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง เนื่องจากจีนพึ่งพาการส่งออกมากขึ้น สะท้อนจากองค์ประกอบของการเติบโตของ GDP (contribution to growth) ที่มาจากภาคส่งออกถึง 40% ในไตรมาสแรกปีนี้ สูงขึ้นอย่างมากจาก 12% ในไตรมาสที่สองปี 2567




 

การบริโภคภาคเอกชนและภาคท่องเที่ยวมีสัญญาณอ่อนแอลงต่อเนื่อง

 

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมร่วงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะที่ทางการกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 ที่ 54.2 จาก 55.4 ในเดือนเมษายน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ (i) การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย หลังหมดมาตรการกระตุ้นในไตรมาสแรก (ii) ความเสี่ยงจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และ (iii) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ

การลดลงอย่างต่อเนื่องของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคบ่งชี้ถึงสัญญาณเชิงลบต่อแนวโน้มการใช้จ่ายภายในประเทศ เมื่อพิจารณาร่วมกับดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) ซึ่งธปท. รายงานว่าในเดือนเมษายนหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน ที่ -4.0% YoY สะท้อนถึงการบริโภคที่อาจถูกกดดันจากหลายปัจจัย อาทิ รายได้ฟื้นตัวช้า ภาระหนี้ครัวเรือนสูง รวมทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อภาคการผลิตและการจ้างงาน ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เริ่มมีความคืบหน้าแต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล หากมีความล่าช้า อาจลดทอนประสิทธิภาพในการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่ภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวรุนแรงขึ้น

 



 

ภาคท่องเที่ยวมีความเปราะบางมากขึ้นเมื่อทั้งจำนวนและรายได้หดตัวลง ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนฟื้นช้า ในเดือนพฤษภาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งสิ้น 2.27 ล้านคน ลดลงจาก 2.55 ล้านคน ในเดือนเมษายน และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน -13.9% สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ 95.8 พันล้านบาท ลดลง -18.5% ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ มาเลเซีย จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-พฤษภาคม) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 14.36 ล้านคน ลดลง -2.7% YoY สร้างรายได้ 6.73 แสนล้านบาท ลดลง -5.2%     

การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวยังมีสถานการณ์ที่น่ากังวล ล่าสุดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหล่นมาอยู่อันดับ 2 รองจากมาเลเซีย โดยปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของตลาดจีน ได้แก่ ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และการแข่งขันกับตลาดท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ สถานการณ์นี้อาจกลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนเคยมีสัดส่วนสูงเป็นอันดับหนึ่งและสร้างรายได้จำนวนมากถึง 28% ของรายได้รวมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงก่อนโควิด-19 เทียบกับปัจจุบันซึ่งมีสัดส่วนเพียง 17% ในเดือนพฤษภาคม หากไม่สามารถเร่งฟื้นความเชื่อมั่นและพลิกฟื้นการเติบโต ภาคการท่องเที่ยวอาจไม่สามารถรักษาบทบาทการเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้

 


 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา