FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามคาด ขณะที่ BOJ คงดอกเบี้ยพร้อมส่งสัญญาณยุตินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ
สหรัฐฯ
เฟดยอมรับตลาดแรงงานเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้น เปิดทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติ 11:1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% โดยระบุว่าเพื่อควบคุมความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคแรงงานที่เริ่มมีความเปราะบางมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เฟดปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ในปี 2568 จาก 1.4% เป็น 1.6% และในปี 2569 จาก 1.6% เป็น 1.8%
คณะกรรมการเฟดเห็นพ้องว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวลง โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่เผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นหลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอต่อเนื่อง เช่น การจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน รวมถึงตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ อย่างไรก็ตาม เฟดปรับเพิ่ม GDP ปี 2568 และปี 2569 ขณะเดียวกัน คาดว่าเงินเฟ้อจะทยอยสูงขึ้นจนถึงปีหน้าจากผลกระทบของนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้า ทิศทางนโยบายการเงินจึงมีความไม่แน่นอนมากขึ้นในปี 2569 สะท้อนจากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟด (Dot Plot) ที่บ่งชี้ถึงโอกาสปรับลดอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ และอีกเพียง 1 ครั้ง ในปีหน้า

ญี่ปุ่น
BOJ ประกาศขาย ETF ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สิ้นสุดยุคนโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นพิเศษ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติ 7:2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% โดยประเมินว่าเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงจากผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และมีมติให้ทยอยขาย ETF ที่ถือครองในระดับ 630 พันล้านเยนต่อปี โดยระบุว่าการขายสินทรัพย์ทั้งหมดอาจต้องใช้เวลากว่าหนึ่งศตวรรษ
เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงยังกดดันการบริโภคภายในประเทศ สะท้อนจากยอดค้าปลีกที่ชะลอตัวมากสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ด้านพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) จะมีการเลือกผู้นำพรรคคนใหม่ในวันที่ 4 ตุลาคม นอกจากนี้ ตัวเลขการส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคมหดตัวลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สอดคล้องกับ PMI ภาคการผลิตที่ยังอยู่ในโซนหดตัว และมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงหลังการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะช่วยหนุนให้ BOJ ไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.50% จนถึงสิ้นปีนี้

จีน
เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณชะลอตัวมากขึ้นสวนทางกับตลาดหลักทรัพย์ โดยยอดค้าปลีกขยายตัวชะลอลงต่อเนื่องจาก 3.7% YoY ในเดือนกรกฎาคมเป็น 3.4% ในเดือนสิงหาคม ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอลงจาก 5.7% เป็น 5.2% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรช่วง 8 เดือนแรกแทบไม่ขยายตัวที่ 0.5% ลดลงอย่างมากจาก 1.6% ในช่วง 7 เดือนแรก ส่วนการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัวแรงขึ้นจาก -12% เป็น -12.9% อีกด้านหนึ่ง Shanghai Composite Index ณ วันที่ 19 กันยายนปรับตัวสูงขึ้น 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
การชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าทำให้จีนเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น และอาจจำเป็นต้องพึ่งมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ล่าสุด รัฐบาลประกาศขยายมาตรการหนุนการบริโภคภาคบริการ เช่น การสนับสนุนให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจภาคบริการและผู้บริโภคมากขึ้น การขยายวีซ่าฟรี การขยายเวลาเปิด-ปิดสถานที่ท่องเที่ยว การก่อสร้างสถานที่นันทนาการ วิจัยกรุงศรีคาดว่า จีนอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มในปีนี้เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงขึ้นสวนทางกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอาจสร้างความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินในระยะข้างหน้า โดยรัฐบาลกำลังพิจารณาออกมาตรการควบคุมการเก็งกำไร


คาดการดำเนินนโยบายที่ต่อเนื่องของรัฐบาลชุดใหม่จะช่วยลดความเสี่ยงการเข้าสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจ แต่การเติบโตยังมีแนวโน้มอ่อนแอ
GDP ในไตรมาส 3 อาจลดลงจากไตรมาสก่อน แต่คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสสุดท้ายของปี ล่าสุดรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เบื้องต้นมีการเตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะถือเป็น “วันแรก” ของการบริหารประเทศอย่างเป็นทางการภายใต้กรอบเวลาเพียง 4 เดือนก่อนจะประกาศยุบสภาฯเพื่อกำหนดการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลชุดนี้จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดว่ามีศักยภาพเพียงใดในการสร้างความต่อเนื่องด้านนโยบายและการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
วิจัยกรุงศรีประเมินสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น ประกอบกับความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคได้ โดยคาดว่าแม้ GDP อาจหดตัวในไตรมาส 3/2568 (เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือ %QoQ) แต่อาจจะขยายตัวเล็กน้อยในไตรมาส 4 ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับประมาณการในกรณีฐานซึ่งคาดการณ์ว่า GDP ทั้งปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.1% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตยังมีข้อจำกัด โดยคาดว่า GDP ในช่วงครึ่งหลังของปีจะขยายตัวเพียง 1.3% YoY ชะลอลงจาก 3.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากแรงส่งจากการเร่งส่งออกล่วงหน้ามีแนวโน้มลดลง ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯสู่ 19% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจะกดดันภาคส่งออกมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ยังเป็นความท้าทายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป แม้ว่าความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยได้ในระดับหนึ่งก็ตาม

ภาคท่องเที่ยวไทยเผชิญการแข่งขันแรงขึ้นในภูมิภาค การฟื้นตัวในช่วงที่เหลือยังเผชิญความท้าทาย ในเดือนสิงหาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 2.58 ล้านคน หดตัว -12.8% YoY สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.19 แสนล้านบาท ลดลง -13.4% สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 21.9 ล้านคน ลดลง -7.2% YoY สร้างรายได้ 1.01 ล้านล้านบาท ลดลง -8.7%
การท่องเที่ยวของไทยยังคงฟื้นตัวอย่างอ่อนแอ โดยมีแรงกดดันสำคัญจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนสิงหาคมมีนักท่องเที่ยวจีนเพียง 0.4 ล้านคน ลดลง -37.7% YoY และในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีเพียง 3.1 ล้านคน ลดลง -35.3% YoY หรือคิดเป็นเพียงประมาณ 40% ของระดับก่อนการแพร่ระบาดในปี 2562 ปัจจัยดังกล่าวสะท้อนถึงความกังวลด้านความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนที่หันไปเลือกจุดหมายปลายทางอื่นเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่ญี่ปุ่นเท่านั้นหากยังรวมถึงประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้ถึง 3.5 ล้านคน สูงกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงมาเลเซียที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน สถานการณ์ดังกล่าวนี้สะท้อนว่าไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดจีนซึ่งเคยเป็นตลาดหลักของการท่องเที่ยวไทย และตอกย้ำว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทายสูง หากไม่มีมาตรการเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย อาจทำให้บทบาทของการท่องเที่ยวในฐานะที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยลดลงในระยะถัดไป
