บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

06 พฤษภาคม 2568

ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลกระทบชัดเจนขึ้นต่อเศรษฐกิจประเทศสำคัญของโลก

 

สหรัฐ

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวมากขึ้น หนุนเฟดปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ในเดือนเมษายน แม้การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 1.77 แสนตำแหน่ง แต่ชะลอลงจาก 1.85 แสนตำแหน่งในเดือนมีนาคม ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2% อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ (JOLTS) ในเดือนมีนาคมปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 7.19 ล้านตำแหน่ง

แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานจะออกมาดีกว่าคาด แต่ข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ความเชื่อมั่นผู้บริโภค การบริโภคภาคเอกชน PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ รวมถึงตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ ยังคงบ่งชี้ถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และสอดคล้องกับ GDP ในไตรมาส 1 ที่หดตัวลง -0.3% QoQ annualized ซึ่งไม่เพียงเป็นผลจากการเร่งนำเข้าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านราคาจากปรับขึ้นภาษีศุลกากร แต่ยังเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในวงกว้างโดยเฉพาะการบริโภคที่เติบโตต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาส ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่กลางปีนี้ และมีแนวโน้มปรับลดสู่ระดับ 3.50–3.75% ภายในสิ้นปี เพื่อพยุงเศรษฐกิจและผ่อนคลายภาวะการเงินในระยะข้างหน้า


 

ญี่ปุ่น

 

BOJ คงดอกเบี้ย พร้อมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ สะท้อนความเสี่ยงขาลงเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 จาก 1.1% เหลือ 0.5% และคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จาก 2.4% เหลือ 2.2% จากข้อพิพาททางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของญี่ปุ่นชะลอลง อย่างไรก็ตาม BOJ ยังส่งสัญญาณยึดแนวทางการขึ้นดอกเบี้ย

เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่คาดนำไปสู่การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญและกระทบกับภาคการผลิตและส่งออกของญี่ปุ่น แม้การอ่อนค่าของเงินเยนและการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนปรับภาษี (Frontloading) จะหนุนการส่งออกในไตรมาสแรก แต่การแข่งขันจากสินค้าจีนในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น อุปสงค์จากต่างประเทศที่ชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) โดยเฉพาะหากอัตราภาษีกลับไปอยู่ที่ระดับ 24% ตามที่ทรัมป์ประกาศไว้รอบแรก หรือการเจรจาล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะต่อไป ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีวิจัยจึงคาดว่า BOJ จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อเนื่อง ก่อนพิจารณาปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี


 

จีน
 

เศรษฐกิจจีนเริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่ทิศทางการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ชัดเจน ทางการ (NBS) รายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตพลิกกลับมาหดตัวจาก 50.5 ในเดือนมีนาคมเป็น 49 ในเดือนเมษายน ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 เช่นเดียวกับดัชนีย่อยคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก ซึ่งหดตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี จาก 49 เป็น 44.7 ส่วนดัชนี PMI นอกภาคการผลิตชะลอลงจาก 50.8 เป็น 50.4 ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 อันดับแรกหดตัวชะลอลงจาก -11.4% YoY เป็น -8.7%

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจล่าสุดของจีนสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการชะลอตัวในภาคการผลิตจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้กันระหว่างจีนและสหรัฐฯ จนแตะระดับสูงกว่า 100% รวมถึงแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ  อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังคงสงวนท่าทีและไม่เร่งเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่เลือกใช้แนวทางการช่วยเหลือธุรกิจแบบเฉพาะจุด โดยงดเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางรายการ เช่น เภสัชภัณฑ์ ไมโครชิป และอีเทน รวมถึงให้ผู้ประกอบการระบุสินค้าสำคัญที่ต้องการงดเว้นภาษี แม้ท่าทีระหว่างสองชาติเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง แต่วิจัยกรุงศรีมองว่า จีนกำลังเลือกแบกรับผลกระทบเชิงลบในระยะสั้น เพื่อสร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับสหรัฐฯ และเป็นแต้มต่อในการเจรจาในระยะข้างหน้า




 

ความเสี่ยงขาลงที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจไทยเพิ่มโอกาสกนง.ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยขนาดการปรับลดอาจขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาการค้า

 

เศรษฐกิจชะลอลงในเดือนมีนาคมจากการบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยว หลายสถาบันทยอยปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงใกล้ระดับ 2% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมชะลอลงจากเดือนก่อน ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับลดลงในทุกหมวด (-0.5% MoM sa) โดยเฉพาะในหมวดบริการที่ลดลงจากกลุ่มโรงแรมและภัตตาคารเป็นสำคัญ สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่ลดลง ด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงต่อเนื่อง (-1.0% MoM sa) โดยปรับลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และหมวดยานพาหนะเป็นสำคัญ ขณที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างทรงตัว สำหรับการส่งออกหากหักทองคำและขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน (-0.2% mom sa)

แม้เครื่องชี้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ในเดือนมีนาคมชะลอลงจากเดือนก่อน แต่โดยภาพรวมในไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจยังมีการฟื้นตัวจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน จากแรงขับเคลื่อนของการใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออกสินค้าที่เร่งขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้น สะท้อนจากการปรับลดคาดการณ์ของหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งธปท.และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งล่าสุดได้ปรับลดประมาณการ GDP ไทยในปีนี้ลงเหลือ 2% และ 2.1% ตามลำดับ นอกจากนี้ Moody’s สถาบันจัดอันดับความเชื่อถือได้ปรับลดแนวโน้ม (Outlook) ของไทยจากระดับมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นเชิงลบ (Negative) เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นช้าหลังวิกฤตโควิดและมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะเดียวกันสถานะทางการคลังอ่อนแอลงจากระดับหนี้สาธารณะที่เร่งตัวขึ้น อีกทั้งยังเผชิญความเสี่ยงที่ภาคส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

 



 

กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1.75% และมีสัญญาณอาจผ่อนคลายต่อเนื่องซึ่งขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 30 เมษายน มีมติ 5 ต่อ 2 ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 1.75% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าจากประเทศเศรษฐกิจแกนหลัก ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดว่า GDP ไทยในปี 2568 จะขยายตัว 2% กรณีการเจรจาการค้ามีความยืดเยื้อและสหรัฐฯ คงภาษีไว้ที่ 10% แต่กรณีที่รุนแรงขึ้นหากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯอยู่ในอัตราที่สูงอาจส่งผลให้ GDP เติบโตเพียง 1.3%

ภายใต้บริบทที่ความเสี่ยงด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยทวีแรงขึ้น กนง. ได้ปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 ลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 2.9% เหลือ 2.0% (Reference scenario) พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายที่ 1% จึงตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.75% ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้นับเป็น pre-emptive move ในการรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง สาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง

กนง. ยังส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายอย่างชัดเจนหรือเปิดโอกาสสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม โดยในแถลงการณ์ระบุว่า “นโยบายการค้าโลกของประเทศเศรษฐกิจหลักในอนาคตยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไป” นอกจากนี้ ในการแถลงข่าว ธปท. ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้เกี่ยวกับวัฏจักรขาลงของดอกเบี้ย โดยเฉพาะภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงและความไม่แน่นอนที่อาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า

ทั้งนี้ ด้วยจุดยืนเชิงผ่อนคลายของกนง.ข้างต้นและการสื่อสารในการแถลงข่าวของธปท.ดังกล่าว วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิถุนายน เนื่องจากความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออก สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีซึ่งเป็นช่วงที่กนง.ประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐจะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้นนั้น แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและ terminal rate จึงขึ้นอยู่กับพัฒนาการและการความคืบหน้าของการเจรจาการค้าเป็นสำคัญ

 


 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา