
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเผชิญความเสี่ยงชะลอตัว แต่แรงกดดันเงินเฟ้ออาจจำกัดขาลงของดอกเบี้ยนโยบาย แม้ว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 64,000 ตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากลดลง 108,000 ตำแหน่ง ในเดือนตุลาคม แต่อัตราการว่างงานขยับขึ้นสู่ระดับ 4.6% ส่วนอัตราการเติบโตของค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงชะลอตัวต่อเนื่องสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ 3.5% YoY สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานในเดือนตุลาคม ชะลอลงสู่ระดับ 2.7% YoY และ 2.6% ตามลำดับ ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายระยะยาวของเฟดที่ 2%
ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง อาทิ ยอดค้าปลีกที่โตช้าสุดในรอบ 5 เดือน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ PMI ภาคการผลิตหดตัวแรงสุดในรอบ 5 เดือน รวมถึง อัตราการว่างงานที่สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อการชะลอตัวตัวรุนแรงของเศรษฐกิจยังค่อนข้างต่ำเมื่อพิจารณาจากภาคบริการที่ขยายตัวและแรงหนุนจากนโยบายการคลัง ขณะที่แผนการซื้อตั๋วเงินคลังเดือนละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ของเฟดประกอบกับการลดดอกเบี้ยในช่วงก่อนหน้านี้คาดว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนแรงส่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียง 1 ครั้งในปี 2569

BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ท่ามกลางพัฒนาการเชิงบวกของเศรษฐกิจและความเสี่ยงเงินเฟ้อ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% พร้อมส่งสัญญาณเปิดกว้างสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมหากภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อบรรลุเป้าหมายตามที่คาดการณ์ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ (Tankan) เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ 15.0 ในไตรมาส 4 ส่วนภาคบริการยังคงอยู่ที่ 34 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับที่แข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่ปี 2533 นอกจากนี้ ยอดการส่งออกในเดือนพฤศจิกายนขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 6.1% YoY ซึ่งสูงสุดในรอบ 8 เดือน
เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้นจาก (i) ความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน (ii) PMI ภาคบริการที่ยังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง (iii) ภาคท่องเที่ยวที่เติบโต และ (iv) ยอดส่งออกที่ฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นทางการคลังรวมถึงแผนการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานคาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าหากพัฒนาการของเศรษฐกิจยังอยู่ในเชิงบวกและมีความเสี่ยงเงินเฟ้อที่ล่าสุดยังคงค้างอยู่ที่ระดับ 2.7-3.0% BOJ อาจทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2569

แรงส่งของเศรษฐกิจจีนอ่อนกำลังลงต่อเนื่อง โดยยอดค้าปลีกสินค้าขยายตัวเพียง 1.3% YoY ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (หากไม่รวมช่วงโควิด) และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหดตัวเร่งขึ้นจาก -1.7% ในช่วง 10 เดือนแรกเป็น -2.6% ในช่วง 11 เดือนแรก ขณะที่ราคาบ้านใหม่และบ้านมือสองในเดือนพฤศจิกายนหดตัวต่อเนื่องที่ -2.8% และ -5.7% ตามลำดับ นอกจากนี้ วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเสี่ยงลุกลามไปยังภาคการเงินภายหลังธนาคารเงาเริ่มมีการผิดนัดชำระเงิน ด้านรัฐบาลประกาศแผนออกพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวในปี 2569 เพื่ออุดหนุนมาตรการแลกซื้อสินค้าใหม่ และมาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์
การผลิต การบริโภค การลงทุน และการส่งออกของจีนอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน ขณะที่ภาคอสังหาฯ ส่งสัญญาณเชิงลบมากขึ้น ทั้งยอดขายและราคาบ้านที่หดตัวต่อเนื่อง ปัญหาด้านสภาพคล่องของผู้พัฒนาอสังหาฯ รวมถึงความเสี่ยงจากธนาคารเงา วิจัยกรุงศรีประเมินว่าแม้การส่งออกของจีนยังขยายตัวแต่เสี่ยงเผชิญมาตรการปกป้องทางการค้าจากประเทศคู่ค้าอื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯ ขณะที่แรงหนุนจากเทศกาลตรุษจีนและมาตรการอุดหนุนของรัฐบาลอาจพยุงการบริโภคในบางจุดหรือเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยภาพรวมแล้ว การฟื้นตัวจึงมีแนวโน้มเปราะบางในระยะข้างหน้า


กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1.25% ชี้เศรษฐกิจเติบโตต่ำต่อเนื่องและเผชิญความเสี่ยงขาลง การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธันวาคม มีมติเอกฉันท์ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ 1.25% โดยกนง.เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงินและนโยบายอื่นของภาครัฐ
กนง.ประเมินเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ท่ามกลางความเสี่ยงด้านขาลงที่เพิ่มสูงขึ้น โดยยังคงคาดการณ์ GDP ปีนี้ จะขยายตัว 2.2% ก่อนปรับลดปี 2569 เหลือเติบโต 1.5% (เดิมคาด 1.6%) และฟื้นตัวเป็น 2.3% ในปี 2570 สำหรับเศรษฐกิจปี 2569 คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลงตามรายได้ และการส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง.คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดปี 2568 ที่ -0.1% ปี 2569 ที่ 0.3% และปี 2570 ที่ 1.0% ผลจากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลงและมาตรการอุดหนุนค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่มีจำกัด ขณะที่กนง.”เห็นควรให้ติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด” ทั้งนี้ ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าศักยภาพต่อเนื่อง และภาวะการเงินที่ตึงตัว (ซึ่งสะท้อนจากการหดตัวของสินเชื่อ) รวมทั้งแรงสนับสนุนจากนโยบายการคลังที่จะมีบทบาทลดลงในช่วงรัฐบาลรักษาการ นโยบายการเงินจึงควรเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยรักษาแรงส่งทางเศรษฐกิจหรือลดความเสี่ยงจากวัฏจักรขาลงในฐานะ Counter-cyclical Policy วิจัยกรุงศรีจึงคาดว่ากนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีก 0.25% สู่ระดับ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปี 2569

ภาคท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2569 เพิ่มขึ้นเป็น 35.5 ล้านคน ในเดือนพฤศจิกายน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยอยู่ที่ 2.91 ล้านคน หดตัว -7.5% YoY ส่งผลให้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 29.6 ล้านคน หดตัว -7.3% ขณะที่ข้อมูลล่าสุดในช่วงวันที่ 1–14 ธันวาคม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก 1.37 ล้านคน ทำให้ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีเพิ่มขึ้นเป็น 31.0 ล้านคน ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของเดือนธันวาคมอย่างใกล้ชิด โดยมีความเสี่ยงที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2568 อาจออกมาต่ำกว่าประมาณการของวิจัยกรุงศรีที่ 33.3 ล้านคน
สำหรับปี 2569 คาดว่าภาคการท่องเที่ยวไทยจะทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังเผชิญข้อจำกัดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศท่องเที่ยวในภูมิภาค และค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวโลก รวมถึงการขยายเส้นทางบินและการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ จะช่วยพยุงภาคการท่องเที่ยวไทยในระยะถัดไป โดยประเมินว่าทั้งปี 2569 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งสู่ระดับ 35.5 ล้านคน ซึ่งสะท้อนทิศทางฟื้นตัวที่ค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับใกล้เคียงกับปี 2567 ท่ามกลางความเปราะบางต่อปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ