ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

25 พฤศจิกายน 2568

Weekly Economic Review

การจ้างงานในสหรัฐฯ ยังอ่อนแอ ขณะที่ความขัดแย้งกับจีนเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ส่วนจีนถูกฉุดรั้งจากตลาดแรงงานที่อ่อนแอและวิกฤตภาคอสังหาฯ
 

สหรัฐฯ

 

ความคาดเคลื่อนจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง ในเดือนกันยายน แต่ตัวเลขเดือนสิงหาคมแย่ลงจากรายงานเดิมซึ่งเพิ่มขึ้น 22,000 ตำแหน่ง ปรับเป็นลดลง 4,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายนร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 51 ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเติบโตในอัตราต่ำสุดในรอบ 4 เดือน แม้ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นขยายตัวมากสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

ตลาดแรงงานและภาคการผลิตที่มีสัญญาณอ่อนแอลง รวมถึงความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนภาพการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอลง ขณะเดียวกันการประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารกว่า 2,000 รายการ และราคาพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำ คาดว่าจะช่วยลดทอนแรงกดดันต่อเงินเฟ้ออันเป็นผลมาจากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม การยกเลิกรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนตุลาคมและการเลื่อนออกตัวเลขเดือนพฤศจิกายนอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดขาดข้อมูลที่เพียงพอในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 9-10 ธันวาคมนี้

 

Weekly Economic Review
 

ญี่ปุ่น

 

แม้มีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ความขัดแย้งกับจีนเพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น  GDP  ของญี่ปุ่นในไตรมาส 3 หดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ที่ -1.8% YoY และ -0.4% QoQ โดยการส่งออกลดลง -1.2% QoQ ขณะที่ PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 48.8 ในเดือนพฤศจิกายน ส่วน PMI ภาคบริการขยายตัวต่อเนื่องที่ 53.1 นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มูลค่ารวม 21.3 ล้านล้านเยน เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ

เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอเนื่องจากการบริโภคถูกกดดันจากค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง และการส่งออกที่ถูกกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ความขัดแย้งกับจีนเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของญี่ปุ่น ภายหลังจีนประกาศให้ประชาชนงดเดินทางไปญี่ปุ่น รวมถึงหยุดซื้ออาหารทะเลและหยุดการอนุมัติฉายภาพยนต์เรื่องใหม่จากญี่ปุ่น ซึ่งอาจส่งผลลบต่อภาคท่องเที่ยวและการส่งออก อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นที่มีมูลค่ามากสุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 อาจช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวได้บางส่วน ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 0.75% ภายในไตรมาสแรกปีหน้า เพื่อตอบสนองต่อเงินเยนที่อ่อนค่าแรงและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
 

Weekly Economic Review
 

จีน
 

ความอ่อนแอในตลาดแรงงานและภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อัตราการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาว (16-24 ปีไม่รวมนักเรียน) ในเดือนตุลาคมยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 17.3% ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 อันดับแรกหดตัวแรงที่สุดในรอบหนึ่งปีที่ -41.9% YoY ส่วนราคาบ้านใหม่และบ้านมือสองเฉลี่ยใน 70 เมืองหดตัวต่อเนื่องนานเกือบ 4 ปีในเดือนตุลาคมที่ -2.6% และ -5.4% ตามลำดับ ล่าสุด รัฐบาลกำลังพิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเร่งแก้ไขวิกฤตในภาคอสังหาฯ เช่น เงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่ การเพิ่มเงินคืนภาษีสำหรับผู้กู้ซื้อบ้าน และการลดต้นทุนในการทำธุรกรรมการซื้อบ้าน

การส่งออกที่อ่อนแรงลงอาจทำให้จีนต้องหันมาพึ่งพาการบริโภคในประเทศมากขึ้น หากการเติบโตของยอดค้าปลีกสูงขึ้นจาก 3.5% YoY ในปี 2567 เป็น 5.5% ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจะชดเชยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ถึง 26% อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นการบริโภคยังเผชิญอุปสรรคและข้อจำกัด อาทิ (i) การว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่สูง (ii) ความเชื่อมั่นต่อการจ้างงานในระยะข้างหน้าที่ต่ำกว่าก่อนโควิดถึง 45% และ (iii) ความมั่งคั่งที่สูญเสียไปจากวิกฤตในภาคอสังหาฯ ปัจจุบัน ภาคอสังหาฯ ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวแต่อย่างใดแม้จีนเร่งออกมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์บ้านใหม่มีแนวโน้มชะลอลงในระยะยาวตามโครงสร้างประชากรที่หดตัวลง
 

Weekly Economic Review

 

Weekly Economic Review

กรอบแผนการคลังระยะปานกลางชี้ไทยเร่งลดความเสี่ยงทางการคลัง ท่ามกลางแรงกดดันด้านอันดับเครดิต

 

รัฐบาลเร่งคุมเข้มวินัยการคลัง ตั้งเป้าขาดดุลการคลังต่ำกว่า 3% ของ GDP ภายในปี 2572 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบแผนการคลังระยะปานกลางปี 2570–2573 โดยตั้งเป้าลดการขาดดุลงบประมาณเหลือไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ลดลงจากขาดดุล 4.4% ในปี 2569 พร้อมยืนยันคงเพดานหนี้สาธารณะไว้ไม่เกิน 70% ของ GDP นอกจากนี้ ได้มีการปรับหลักเกณฑ์การกำหนดกรอบการคลังให้เข้มงวดชัดเจนขึ้น เช่น (i) การตั้งงบกลางไม่เกิน 3% ของงบประมาณรายจ่าย (ii) การตั้งงบใช้คืนหนี้ไม่ต่ำกว่า 4% ของงบประมาณรายจ่าย และ (iii) การตั้งงบประมาณผูกพันสูงสุดไม่เกิน 5% ของงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น ขณะเดียวกันรัฐบาลเริ่มเร่งรัดพิจารณากระบวนการจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 วางกรอบวงเงิน 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากปีงบฯก่อน และเป็นงบขาดดุล 3.9% ของ GDP

การกำหนดกรอบวินัยการคลังที่เข้มงวดขึ้นสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการปรับสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่สถาบันจัดอันดับเครดิตสำคัญ 2 แห่งได้ปรับแนวโน้มเครดิต (Outlook) ของไทยลงสู่เชิงลบ (Negative) (เดือนเมษายนและกันยายนที่ผ่านมา) การกำหนดเป้าหมายลดขาดดุลทางการคลังให้ต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 เร็วขึ้นจากการแผนครั้งก่อน รวมถึงการจำกัดงบกลาง งบใช้คืนหนี้ และงบผูกพัน จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของกระบวนการจัดทำงบประมาณ ตลอดจนแสดงความมุ่งมั่นที่จำกัดการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะไม่ให้สูงเกินเพดาน 70% ของ GDP ซึ่งเป็นจุดที่ตลาดการเงินให้ความสำคัญ นอกจากนี้ การเดินหน้าปรับโครงสร้างรายได้รัฐ ควบคู่กับการควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็น จะช่วยเสริมความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติและลดต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐในระยะกลาง หากสามารถดำเนินนโยบายตามกรอบที่กำหนดได้จริง จะเป็นปัจจัยบวกต่อเสถียรภาพการคลังและอันดับเครดิตของประเทศในอนาคต ล่าสุด กลางเดือนพฤศจิกายน  S&P ประกาศยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ BBB+ และคงแนวโน้มที่ มีเสถียรภาพ (Stable)
 

Weekly Economic Review
 

 

ประกาศวันที่ :25 พฤศจิกายน 2568
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา