บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

24 มิถุนายน 2568

ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยกระดับขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มราคาพลังงาน ด้านการบริโภคของจีนดีขึ้นแต่ยังขาดโมเมนตัมในระยะยาว

 

สหรัฐ

 

เฟดคงมุมมองปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ภายใต้ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% พร้อมปรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงจากเดิมที่คาดโต 1.7% สู่ระดับ 1.4% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ PCE พื้นฐานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.1% จากเดิมที่ 2.8% สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยง Stagflation ที่สูงขึ้น

ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากแรงกดดันของภาวะการเงินที่ยังตึงตัว อัตราการผิดนัดชำระหนี้ภาคเอกชนที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีการค้าและความไม่สงบในตะวันออกกลาง ล่าสุด การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์สามแห่งในอิหร่านของสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มความเสี่ยงต่อการขยายวงของสงครามมากขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาพลังงานปรับสูงขึ้นหากสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยราคาน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นสูงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ความเสี่ยงต่างๆ ข้างต้นคาดว่าจะกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ จากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (Dot Plot) ในการประชุมรอบล่าสุดบ่งชี้ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) สู่ระดับ 3.75-4.00% ในปีนี้


ญี่ปุ่น

 

BOJ ชะลอมาตรการลดซื้อพันธบัตร (QE tapering) จากบอนด์ยีลที่พุ่งขึ้นและเงินเฟ้อที่ยังสูง ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% พร้อมประกาศว่าจะชะลอความเร็วในการลดปริมาณซื้อพันธบัตรรัฐบาลลงตั้งแต่เดือนเมษายน 2569 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า BOJ จะดำเนินการปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติอย่างระมัดระวังหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวพิเศษพุ่งสูงขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่น

แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเปราะบางจากมาตรการปรับขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของภาคการผลิตและส่งออก อย่างไรก็ตาม ภาคบริการนำโดยการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ผลของมาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและก๊าซ รวมถึงการระบายข้าวในสต็อกคาดว่าจะช่วยบรรเทาเงินเฟ้อและสนับสนุนการบริโภคซึ่งจะลดโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงของสงครามในตะวันออกกลางที่อาจนำไปสู่การพุ่งสูงขึ้นของราคาพลังงาน จากภาพดังกล่าว วิจัยกรุงศรีประเมินว่า BOJ จะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้เพื่อประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างน้อยจนถึงช่วงปลายปีนี้


 

 

จีน
 

ภาคการบริโภคของจีนดีขึ้นบ้างจากมาตรการกระตุ้นและเทศกาลซื้อสินค้าออนไลน์ ยอดค้าปลีกสินค้าขยายตัวดีขึ้นจาก 5.1% YoY ในเดือนเมษายนเป็น 6.4% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 นำโดยเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและอุปกรณ์วีดีโอ (+53%) และอุปกรณ์สื่อสาร (+33%) อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเติบโตชะลอลงจาก 4% ในช่วง 4 เดือนแรก เหลือ3.7% ในช่วง 5 เดือนแรก

การบริโภคในประเทศของจีนได้แรงหนุนหลักจากมาตรการอุดหนุนการแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ และเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ประจำปี (เทศกาล 618) แต่แรงหนุนดังกล่าวอาจหมดไปหากมาตรการสิ้นสุดลงหรือพ้นช่วงเทศกาล นอกจากนี้ การดึงอุปสงค์ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน อาจทำให้การบริโภคในระยะข้างหน้าชะลอตัวลง (payback effect) ดังนั้น เพื่อรักษาแรงส่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่ง (i) ฟื้นความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและกระตุ้นการลงทุน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อไปยังการจ้างงาน (ii) ฟื้นความมั่งคั่งของผู้บริโภคที่สูญเสียไปจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม กระบวนการฟื้นฟูดังกล่าวอาจเผชิญข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ การหดตัวของประชากร รวมทั้งภาวะอุปทานส่วนเกินในภาคการผลิตและภาคอสังหาฯ




 

แม้การส่งออกไทยทำสถิติใหม่ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ

 

มูลค่าส่งออกเดือนพฤษภาคมทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แต่การเติบโตอาจไม่ยั่งยืนจากหลายปัจจัยกดดัน กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 31.0 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ที่ 18.4% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าส่งออกขยายตัว 20.4% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ แผงวงจรไฟฟ้า รวมถึงสินค้าเกษตรที่กลับมาจากขยายตัวจากการส่งออกมันสำปะหลังและผลไม้ที่เพิ่มขึ้น ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวสูงในตลาดสหรัฐฯ และจีน ขณะที่การส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นและอาเซียน5 หดตัวเล็กน้อย สำหรับในช่วง 5 เดือนของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 138.2 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14.9%

แม้การส่งออกไทยจะเติบโตในอัตราเลขสองหลัก แต่ยังไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตในประเทศ สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 4 เดือนแรกของปียังอยู่ในภาวะหดตัวที่ -0.8% นอกจากนี้ แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไปยังเผชิญอุปสรรคจาก (i) นโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แม้การเก็บภาษีแบบตอบโต้อาจเผชิญข้อจำกัดทางกฎหมาย แต่สหรัฐฯ อาจหันไปใช้กฎหมายการค้าอื่น เช่น การเพิ่มรายการสินค้าและเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 วิจัยกรุงศรีพบว่าการใช้มาตรา 232 ดังกล่าว อาจทำให้การส่งออกของไทยในระยะยาวหายไป -0.76% ใกลัเคียงกับผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้าในปัจจุบันที่ -0.68% อีกทั้งผลลบจากมาตรา 232 ต่อบางอุตสาหกรรมจะรุนแรงขึ้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า (แรงขึ้น 3 เท่า) และ (ii) การเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯอาจเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นหลังจากความเสี่ยงประเด็นเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ

 



 

ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยร่วงลง 5 อันดับ สู่อันดับที่ 30 ขณะที่เสถียรภาพทางการเมืองที่สั่นคลอนเพิ่มแรงกดดันต่อทิศทางเศรษฐกิจ จากรายงานของ IMD World Competitiveness Ranking ประจำปี 2568 ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปรับลดลงมาอยู่อันดับที่ 30 จาก 69 ประเทศ ลดลงจากอันดับที่ 25 ในปี 2567 โดยปรับลดในทุกองค์ประกอบ ได้แก่ ประสิทธิภาพของภาครัฐ (จากอันดับ 24 เป็น 32) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (จาก 20 เป็น 24) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (จาก 43 เป็น 47) และภาวะเศรษฐกิจ (จาก 5 เป็น 8)

การที่อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปรับลดลง โดยเฉพาะอันดับที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐและประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ สะท้อนถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ความล่าช้าในการดำเนินนโยบายภาครัฐ การปรับตัวของภาคเอกชนที่ยังขาดความยืดหยุ่น และการลงทุนภาคการผลิตที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ล้วนเป็นปัจจัยที่บั่นทอนศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ขณะที่ล่าสุดสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและอดีตผู้นำกัมพูชา รวมถึงการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาล 69 ที่นั่งจากพรรคภูมิใจไทย อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ อาทิ (i) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแผนจะอนุมัติงบประมาณวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท (จากทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท) (ii) กระบวนการอนุมัติโครงการภาครัฐ และ (iii) การจัดทำงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลประจำปีงบฯ 2569 ประเด็นดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

 


 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา