ตลาดแรงงานสหรัฐฯชะลอตัวชัดเจนขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนยังอ่อนแอ ส่วนความร่วมมือระหว่างจีนและชาติพันธมิตรสะท้อนความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ภายใต้โลกหลายขั้ว
สหรัฐฯ
ตลาดแรงงานชะลอตัวต่อเนื่อง หนุนคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ในเดือนสิงหาคม การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 22,000 ตำแหน่ง ชะลอลงมากจากเดือนก่อนที่ 79,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานขยับขึ้นสู่ 4.3% จาก 4.2% ขณะที่อัตราการเติบโตของค่าจ้างต่ำสุดในรอบปีที่ 3.7% YoY นอกจากนี้ การเปิดรับสมัครงานลดลงเป็นเดือนที่ 3 ที่ 170,000 สู่ระดับ 7.18 ล้านตำแหน่ง ในเดือนกรกฎาคม
ตลาดแรงงานส่งสัญญาณอ่อนแอมากขึ้นหลังการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยสุดนับตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 ปี 2563 อัตราการว่างงานสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รวมถึงตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 10 เดือน บ่งชี้แนวโน้มการชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้นของเศรษฐกิจ ท่ามกลางความเสี่ยงทางการคลังจากคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่ระบุว่าการสั่งเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ "ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลต้องคืนภาษีในอนาคต วิจัยกรุงศรีประเมินว่าเฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อลดทอนความเสี่ยงต่อการชะลอตัวที่รุนแรงของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

ยูโรโซน
คาด ECB ยังมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ย ท่ามกลางเศรษฐกิจที่โตต่ำและเงินเฟ้อที่เข้าสู่เป้าหมาย 2% GDP ไตรมาส 2 โตเพียง 0.1% QoQ ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ 0.6% ขณะเดียวกันยอดค้าปลีกในเดือนกรกฎาคมขยายตัว 2.2% YoY ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ 3.5% ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับลดลง 11 จุด สู่ระดับ 25.1 ในเดือนสิงหาคม
เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ GDP ยอดค้าปลีก PMI ภาคบริการ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณชะลอตัวมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส หลังนายกรัฐมนตรี ฟรองซัวส์ บาโยรู มีโอกาสสูงที่จะไม่ผ่านการลงมติไว้วางใจในวันที่ 8 กันยายน และอาจกระทบต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเทขายพันธบัตรฝรั่งเศส จากภาพดังกล่าว วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ECB มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) สู่ระดับ 1.50% ภายในสิ้นปีนี้ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเคลื่อนไหวใกล้กรอบเป้าหมายที่ 2%

จีน
เศรษฐกิจจีนยังเปราะบาง ขณะที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจผลักให้จีนและพันธมิตรมีความร่วมมือแน่นฟื้นมากขึ้น ในเดือนสิงหาคม ดัชนี PMI ภาคการผลิต ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ และดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง (ดังรูป) ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการขยายตัว ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่หดตัวต่อเนื่องที่ -17.6% YoY และ -2% MoM อีกด้านหนึ่งจีนประกาศสนับสนุนเงินทุนแก่องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้จำนวน 2 พันล้านหยวนในรูปเงินให้เปล่า และ 1 หมื่นล้านหยวนในรูปของเงินกู้ รวมถึงแผนจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาภายใต้องค์การดังกล่าว
เศรษฐกิจจีนในเดือนสิงหาคมดีขึ้นบ้างแต่ยังคงเผชิญแรงกดดันหลายด้านทั้งความเชื่อมั่นที่ยังเปราะบาง วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสงครามการค้า ความหวังสำคัญยังอยู่ที่มาตรการกระตุ้นการบริโภค และการแก้ไขปัญหาอุปทานส่วนเกินและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ขณะที่การขยายการสนับสนุนองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ในจังหวะไล่เลี่ยกับการฉลองครบรอบ 80 ปีวันแห่งชัยชนะ และการประชุม BRICS ในเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นสัญญาณที่ฉายภาพความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นของจีนและพันธมิตร สวนทางกลับสหรัฐฯ ที่ยังคงเดินหน้านโยบายภาษีนำเข้าแม้กระทั่งต่อพันธมิตรของตน

แนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง หนุนให้ทางการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย
หากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไม่กระทบต่อประสิทธิภาพในการดำเนินโยบาย คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 2.1% แม้สถานการณ์การเมืองไทยจะสามารถคลี่คลายลงได้ในระดับหนึ่ง จากการที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับเสียงสนับสนุนจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่ยังคงมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในมิติของความต่อเนื่องและประสิทธิผลของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ภายใต้บริบททางการเมืองที่ยังมีความเปราะบาง
สถานการณ์การเมืองในประเทศที่ปัจจุบันเสถียรภาพทางการเมืองยังคงเปราะบางจากรัฐบาลเสียงข้างน้อย (146 เสียง) และเป็นรัฐบาลในช่วงระยะสั้นด้วยเวลาเพียง 4 เดือนนับจากวันที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา วิจัยกรุงศรีประเมินว่าหากผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองต่อการดำเนินนโยบายทางการคลังอยู่ในวงจำกัดจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตได้ตามกรณีฐานที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.1% โดยในช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตต่ำเพียง 1.3% YoY จาก 3.0% ในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้าย หากพัฒนาการทางการเมืองมีผลกระทบต่อความต่อเนื่องและประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงการเจรจาทางการค้ากับประเทศสำคัญ เศรษฐกิจไทยอาจสูญเสียแรงส่งการฟื้นตัวและเผชิญความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในกรณีฐานได้

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 คาดกนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ภายในไตรมาสแรกปี 2569 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมอยู่ที่ -0.79% YoY ติดลบต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด กลุ่มพลังงาน และค่ากระแสไฟฟ้า ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.81% จาก 0.84% ในเดือนกรกฎาคม สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.08% และ 0.94% ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 3 มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในแดนลบต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ซึ่งอยู่ที่ -0.35% ปัจจัยหลักจากราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำ กอปรกับมาตรการตรึงค่าไฟฟ้า รวมทั้งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในปีนี้หนุนให้ผลผลิตภาคเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแอ ทั้งนี้ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 0.2% ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการต่อเนื่องเป็นปีที่สอง
สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ เปิดโอกาสให้กนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 1.0% ภายในสิ้นไตรมาสแรกของปี 2569 เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากปัจจัยภายนอก โดยแรงส่งจากคำสั่งซื้อส่งออกล่วงหน้าเริ่มลดลงหลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 19% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ขณะที่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในประเทศยังต้องรอความชัดเจนในประเด็นความต่อเนื่องและประสิทธิผลของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ
