ภาวะชัตดาวน์ในสหรัฐฯ กระทบความเชื่อมั่น ขณะที่พรรค LDP ของญี่ปุ่นเตรียมแต่งตั้งผู้นำหญิงคนใหม่เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนเศรษฐกิจจีนได้แรงหนุนบางส่วนจากภาคบริการ
สหรัฐฯ
การปิดหน่วยงานราชการกระทบความเชื่อมั่น ขณะที่ข้อมูลล่าสุดยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการจ้างงานภาคเอกชนลดลง 32,000 ตำแหน่ง ในเดือนกันยายน ซึ่งย่ำแย่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 94.2 ขณะที่ผลจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ ทำให้ต้องเลื่อนการรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกันยายนออกไปชั่วคราว
วุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวได้ทันก่อนเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ส่งผลให้หน่วยงานหลายแห่งต้องปิดการดำเนินงาน หรือเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม แม้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจคาดว่าจะไม่สูงมากเมื่อพิจารณาจากการปิดหน่วยงานในอดีต อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อจนกดดันต่อรายได้และกำลังซื้อ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ดัชนีชี้วัดที่สำคัญอื่นๆ เช่น การจ้างงานภาคเอกชน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึง PMI ภาคการผลิต ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) สู่ระดับ 3.50-3.75% ภายในสิ้นปีนี้

ญี่ปุ่น
แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอ ขณะที่ การเลือกตั้งผู้นำพรรค LDP เพิ่มความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยสู่ +14 ในไตรมาส 3 จาก +13 ในไตรมาส 2 ส่วนภาคบริการทรงตัวที่ระดับ +34 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายใหญ่มีแผนเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 12.5% YoY สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส ขณะที่ยอดค้าปลีกหดตัว -1.1% YoY ในเดือนสิงหาคม จากเดือนก่อนขยายตัว +0.4% นอกจากนี้ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรค LDP คนใหม่ ปูทางสู่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น
แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่ในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน รวมถึงภาคธุรกิจยังคงขยายแผนการลงทุน แต่เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆอ่อนแอลง เช่น การหดตัวของยอดค้าปลีก นอกจากนี้ นโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มแรงกดดันต่อภาคการผลิต การส่งออก รวมถึงผลประกอบการของภาคธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตต่ำ ปัจจัยดังกล่าวสร้างความยากลำบากให้กับ BOJ ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้นำพรรค LDP คนใหม่อาจเพิ่มโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้

จีน
ภาคบริการยังหนุนเศรษฐกิจจีน ขณะที่ช่วงหยุดยาววันชาติคาดว่าจะช่วยทำให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจคึกคักมากขึ้น โดย PMI ภาคการผลิตขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 49.4 ในเดือนสิงหาคมเป็น 49.8 ในเดือนกันยายน แต่ยังอยู่ในโซนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่ PMI ภาคบริการยังขยายตัวแม้ชะลอลงเล็กน้อยจาก 50.5 เป็น 50.1 ส่วนยอดขายบ้านใหม่ในเดือนกันยายนขยายตัวเพียง 0.4% YoY จาก -17.6% ในเดือนสิงหาคม อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลท้องถิ่นอุดหนุนเงินกว่า 330 ล้านหยวนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงหยุดยาววันชาติจีนตั้งแต่ 1 ถึง 8 ตุลาคม
ภาคบริการยังหนุนเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีความสำคัญมากขึ้นภายหลังรัฐบาลขยายมาตรการหนุนการบริโภคภาคบริการเพิ่มเติมในเดือนกันยายน สำหรับภาคการผลิตเดือนล่าสุดเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ยังเผชิญแรงกดดันหลายด้านจากทั้งภาวะอุปทานส่วนเกิน การบริโภคที่อ่อนแอ และนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์โดยพื้นฐานยังคงอ่อนแอ และอุปสงค์บ้านใหม่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาวตามโครงสร้างประชากรที่หดตัวลง ขณะที่วันหยุดยาวในช่วงเฉลิมฉลองวันชาติจีนคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจในเดือนตุลาคมคึกคักมากขึ้น โดยรัฐบาลประเมินว่าการเดินทางทั่วประเทศจะสูงขึ้น 3.2% YoY สู่ระดับ 2.4 พันล้านทริป


ภาคส่งออกและอุปสงค์ในประเทศแผ่วลงในไตรมาส 3 คาดการดำเนินมาตรการทางการคลังและการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ต่อเนื่องอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้าย
เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจน คาดหนุนให้ธปท.ปรับลดดอกเบี้ย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคม มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำลดลงจากเดือนก่อน (-0.1% MoM sa) โดยการส่งออกไปสหรัฐฯลดลงเป็นเดือนแรกหลังภาษีนำเข้ามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ด้านการลงทุนภาคเอกชนหดตัว (-0.2%) จากการลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการบริโภคภาคเอกชนไม่มีการเติบโต (0%) โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและหมวดสินค้ากึ่งคงทนที่ลดลงจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายรับที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+2.8% และ +2.7% ตามลำดับ)
เครื่องชี้ในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมสะท้อนว่าแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลายภาคส่วนในไตรมาส 3 มีทิศทางอ่อนแรงลงชัดเจน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 8 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นนัดแรกภายใต้การกำกับของผู้ว่าการ ธปท. ท่านใหม่ (นายวิทัย รัตนากร) วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจากปัจจุบันที่ 1.50% สู่ 1.25% เนื่องจากอุปสงค์ภายใน ประเทศชะลอลงอย่างมากทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนเอกชน ตลอดจนภาคการส่งออกที่เผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในช่วงต้นเดือนตุลาคมเสริมกับมาตรการการคลังระยะสั้นของรัฐบาลที่จะทยอยมีผลบังคับใช้เบื้องต้นตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนช่วยให้เศรษฐกิจรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเทคนิค

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น คาดช่วยประคองความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายในช่วงท้ายปี ล่าสุดรัฐบาลเตรียมดำเนินมาตรการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชนในช่วงปลายปี (เดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม) จำนวน 33 ล้านคน วงเงินราว 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจำแนกเป็น (i) การเติมเงินเในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ถือบัตรฯ 13.4 ล้านคน จากเดิม 300 บาทต่อเดือน เพิ่มให้อีกเดือนละ 850 บาท รวมเป็น 1,150 บาทเป็นเวลา 2 เดือน วงเงินรวม 2.2 หมื่นล้านบาท (ii) โครงการคนละครึ่งพลัส สำหรับประชาชนทั่วไปอายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 20 ล้านคน วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท (รายละเอียดจะเข้า ค.ร.ม. สัปดาห์นี้) นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศและการลงทุน รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องแก่ธุรกิจ SMEs
อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจข้างต้นคาดว่าจะช่วยพยุงความเชื่อมั่นและหนุนการใช้จ่ายในประเทศในปีนี้ให้ฟื้นตัวได้บางส่วน ขณะเดียวกันการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว อาจช่วยหนุนให้จำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นได้บ้าง ปัจจัยบวกเหล่านี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่อ่อนแรงได้ในระดับหนึ่ง โดยวิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปี 2568 จะเติบโตที่ 2.1% อย่างไรก็ตาม การทยอยลดลงของผลเชิงบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า ประกอบกับผลเชิงลบที่มากขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจเติบโตชะลอลงเหลือ 1.3% จาก 3.0% ในช่วงครึ่งปีแรก