บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

29 กรกฎาคม 2568

Weekly Economic Review

แม้ยุโรปกับญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แต่ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจ ด้านจีนอาจต้องพึ่งพาการบริโภคมากขึ้นเพื่อทดแทนการส่งออก

 

ยุโรป

 

ยุโรปบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม แต่ผลกระทบจากภาษีคาดส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้นและเปิดทางให้ ECB ลดดอกเบี้ยต่อในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.00% ในการประชุมวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ทรงตัวใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2%

สหรัฐฯ กับยุโรปบรรลุข้อตกลงการค้าได้ทันเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม โดยอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปลดลงเหลือ 15% (จากเดิมที่ถูกขู่ว่าจะเก็บในอัตรา 30%) โดยแลกกับการที่ยุโรปต้องยอมเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯโดยลดภาษีลงมาที่ 0% พร้อมกับสัญญาเพิ่มเติมว่าจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ 7.5 แสนล้านดอลล่าร์ ลงทุนในสหรัฐฯอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกับซื้อยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ (ยังไม่ระบุมูลค่า) ขณะที่ภาษีอื่นๆ เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม จะยังถูกเก็บเท่าเดิมที่อัตรา 50% อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางลบจากภาษีนำเข้าที่สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรกและปี 2567 คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงและเปิดทางให้ ECB กลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ โดยวิจัยกรุงศรีประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับลดอีก 0.50% สู่ระดับ 1.50% ภายในช่วงที่เหลือของปีนี้



 

ญี่ปุ่น

 

การบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ช่วยลด downside risk ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงครึ่งปีหลัง ในเดือนกรกฎาคม ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นพลิกกลับมาหดตัวที่ 48.8 จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 50.1 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ชะลอตัวลงเป็นเดือนที่สองอยู่ที่ 2.9% YoY โดยต่ำกว่า 3% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยจะถูกเก็บภาษีตอบโต้สินค้าทั้งหมดรวมถึงรถยนต์ในอัตรา 15% ซึ่งลดลงจากเดิมที่ถูกขู่ว่าจะเก็บในอัตรา 25% โดยแลกกับการนำเข้าสินค้าสำคัญจากสหรัฐฯ เช่น รถยนต์ รถบรรทุก และสินค้าเกษตรอื่นๆ โดยประเด็นดังกล่าวมองว่าจะช่วยลดความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ขณะเดียวกันแม้ว่าพรรครัฐบาลแพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและทำให้กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยทั้งสองสภา แต่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชิเงรุ อิชิบะ ยังยืนยันว่าจะไม่ลาออก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดสูญญากาศทางการเมือง อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมเศรษฐกิจที่โตต่ำและแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเข้ามามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีนี้



 

จีน
 

เศรษฐกิจจีนอาจต้องหันมาพึ่งภาคการบริโภคมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อรักษาแรงส่งการเติบโต องค์ประกอบของการเติบโตของ GDP (contribution to growth) ในไตรมาสสองปีนี้มาจากการบริโภคขั้นสุดท้ายถึง 52% และจากภาคการส่งออกสุทธิที่ 23% ซึ่งลดลงอย่างมากจาก 40% ในไตรมาสแรก สอดคล้องกับการส่งออกที่ชะลอลงในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ขณะเดียวกันรัฐบาลเริ่มโครงการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในทิเบตมูลค่า 1.2 ล้านหยวน

การส่งออกจีนในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากสงครามการค้า ทั้งการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยตรงกับจีน และการเก็บภาษีของสหรัฐฯ กับชาติในอาเซียน ซึ่งจีนใช้เป็นทางผ่านในการส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษี จีนจึงอาจไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเพื่อหนุนการเติบโตได้มากเท่ากับระยะที่ผ่านมา และอาจต้องหันไปพึ่งภาคการบริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐาน ภาคการบริโภคยังเติบโตต่ำ และต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเป็นหลัก ความเชื่อมั่นผู้บริโภคแม้ดีขึ้นบ้าง แต่ยังต่ำกว่าก่อนโควิดถึง 30% ส่วนรายได้ต่อหัวในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัว 5.3% YoY ต่ำกว่าก่อนโควิด (2560-2562) ซี่งเติบโตราว 8-9% ดังนั้น ในระยะข้างหน้า รัฐบาลควรมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ภาคครัวเรือน ทั้งการฟื้นฟูความมั่งคั่งในภาคอสังหาฯ และกระตุ้นการลงทุนเพื่อสร้างการจ้างงานต่อเนื่อง

 



 

Weekly Economic Review

จับตาดีลการค้าไทย-สหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยชี้ถึงแนวโน้มการลงทุนและการส่งออกไทย

 

มูลค่าส่งออกเดือนมิถุนายนขยายตัวในอัตราเลขสองหลักต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 คาดกรณีภาษี 36% ไทยสูญเสียการส่งออกราว 1.64 แสนล้านบาท กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 28.6 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 15.5% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ การส่งออกเติบโต 15.6% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ แผงวงจรไฟฟ้า รวมถึงสินค้าเกษตรโดยเฉพาะผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งที่กลับขยายตัวได้ดี ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดสำคัญส่วนใหญ่เติบโตดี โดยเฉพาะตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และอาเซียน สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 166.9 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 15.0%

แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงแรง โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯหลังจากที่เติบโตสูงถึง 29.7% ในช่วงครึ่งปีแรก จากการเร่งส่งออกตามการสะสมสต๊อกสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้  วิจัยกรุงศรีประเมินหากการเจรจาขอลดภาษีสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไปสหรัฐฯไม่สำเร็จ โดยไทยยังถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียนและประเทศแกนหลัก ซึ่งอยู่ที่อัตราประมาณ 15-20% อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยในระยะยาวหายไป -1.55% หรือเป็นมูลค่าราว 1.64 แสนล้านบาท (คิดเป็น 0.88% ของ GDP) สูงกว่าผลกระทบจากกรณีปัจจุบันที่โดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ที่ -0.65% ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาส่วนต่างจากผลกระทบใน 2 กรณีดังกล่าว (จากรูป) จะพบว่าการส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากกัมพูชา


 

การลงทุนผ่าน BOI ยังมีสัญญาณเชิงบวกอยู่บ้าง ท่ามกลางความกังวลสงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศ  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,880 โครงการ (เพิ่มขึ้น 38% YoY) มูลค่าเงินลงทุน 1.06 ล้านล้านบาท (+138%) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง ได้แก่ ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเกษตรและแปรรูปอาหาร สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,369 โครงการ (+59%) เงินลงทุน 0.74 ล้านล้านบาท (+132%) นำโดย สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน  

แม้ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปีปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในด้านจำนวนและมูลค่า ซึ่งสะท้อนสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน แต่เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างจะพบว่าการลงทุนยังคงกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมบางกลุ่ม โดยเฉพาะกิจการ Data Center ขนาดใหญ่ ซึ่งแม้จะเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในอนาคต แต่ในระยะสั้นอาจยังไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มหรือการจ้างงานในห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงเป็นแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานโลก หากไทยไม่สามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้จาก 36% ลงมาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่อัตรา 19-20% ย่อมจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศและอาจชะลอการตัดสินใจลงทุนในระยะต่อไป ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นล่าสุด อาจเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมซึ่งกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะนี้


 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา