คาดนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯยังคงกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกแม้ความตึงเครียดทางการค้าผ่อนคลายลงบ้าง ส่วนเศรษฐกิจจีนยังเปราะบาง
สหรัฐ
ความตึงเครียดทางการค้าผ่อนคลายลงในช่วงสั้น ขณะที่เฟดมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในเดือนนี้ การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง ในเดือนพฤษภาคม จากเดือนก่อนที่ 147,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2% ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯเตรียมส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินทางไปยังกรุงลอนดอนสัปดาห์นี้เพื่อหารือกับจีนเกี่ยวกับข้อตกลงการค้า
การจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าที่มีต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อคาดว่าจะส่งผลให้เฟดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 17-18 มิถุนายนนี้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น สะท้อนจาก PMI ภาคบริการที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากนโยบายภาษีนำเข้าคาดว่าจะกดดันเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะถัดไป แม้ศาลการค้าฯ ตัดสินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าช่วงต้นเดือนเมษายนผิดกฎหมาย แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นศาลอุธรณ์และอาจไปสู่ศาลฎีกา อีกทั้งยังสามารถปรับขึ้นภาษีนำเข้ารายสินค้าและรายประเทศผ่านกฎหมายอื่นๆ ได้ จากประเด็นดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อบรรเทาความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

ยูโรโซน
ECB ปรับลดดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรผ่อนคลายนโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมเบื้องต้นชะลอลงสู่ระดับ 1.9% YoY ต่ำกว่าเป้าที่ 2.0% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กันยายน 2567 ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% พร้อมปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2568 และ 2569 ลง 0.3% สู่ระดับ 2% และ 1.6% ตามลำดับ และปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2569 ลง 0.1% สู่ระดับ 1.1% เทียบกับ 0.9% ในปี 2568 ประธาน ECB ระบุว่าวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก สะท้อนจาก PMI ภาคบริการที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับผลบวกจาก front-loading ของการส่งออกที่เริ่มลดลง ขณะที่ความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ คาดกดดันภาคการผลิตและส่งออกในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แรงกดดันเงินเฟ้อคลายลง และดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ทั้งนี้ จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% วิจัยกรุงศรีคาด ECB มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้ง สู่ระดับ 1.50-1.75% ภายในสิ้นปีนี้

จีน
ภาคการผลิตจีนปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงอ่อนไหวต่อแรงกดดันจากสงครามการค้า ทางการ (NBS) รายงาน PMI ภาคการผลิต ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ และดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก สูงขึ้นในเดือนพฤษภาคมหลังหดตัวแรงในเดือนเมษายน ส่วน PMI นอกภาคการผลิตลดลงเล็กน้อย (ดังรูป) ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 100 อันดับแรกยังหดตัวต่อที่ -8.6% YoY
ตัวเลข PMI ของทางการสะท้อนภาพการฟื้นตัวในภาคการผลิตของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หลังจีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องในการลดภาษีนำเข้าระหว่างกันชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กยังเผชิญภาวะซบเซา สะท้อนจาก PMI ที่สำรวจโดย Caixin ที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน นอกจากนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้ายังมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงขึ้น หากจีนและสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกัน หรือหากสหรัฐฯ หันไปใช้กฎหมายอื่นเพื่อขึ้นภาษีนำเข้าแทนกฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ซึ่งกำลังมีข้อพิพาททางกฎหมายในปัจจุบัน ระยะต่อไปจึงอาจเห็นการขยายมาตรการภาษีนำเข้าทั้งในแง่อัตราภาษีและและความครอบคลุมในรายกลุ่มสินค้า ดังนั้น มาตรการทางคลังจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการประคับประคองเศรษฐกิจภายใต้แรงกดดันจากสงครามการค้า


แม้เศรษฐกิจฟื้นตัวบางภาคส่วนแต่ยังมีความเปราะบาง กอปรกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ คาดธปท.อาจลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปีนี้
เศรษฐกิจเดือนเมษายนฟื้นตัวบางส่วนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุน ขณะที่การบริโภคอ่อนแรงลง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนเมษายนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน ตามการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในหลายหมวด (+2.9% MoM sa) โดยเฉพาะหมวดรถยนต์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น (+2.9%) โดยขยายตัวในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ส่วนภาคท่องเที่ยวปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+2.5%) แต่ยังต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน ขณะที่การส่งออก (หักทองคำ) ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า (-2.1%) และการบริโภคภาคเอกชนปรับลดลง (-1.5%) โดยลดลงในหมวดบริการจากกลุ่มโรงแรมและภัตตาคารเป็นหลัก
แม้มีสัญญาณการฟื้นตัวในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจในช่วงต้นไตรมาสสอง แต่วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการฟื้นตัวยังมีความเปราะบางอยู่สะท้อนจาก (i) โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่แม้เริ่มกลับมาขยายตัวในเดือนเมษายนแต่ส่วนหนี่งเป็นการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลังที่ได้เร่งส่งออกไปในช่วงก่อนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (ii) แนวโน้มการส่งออกของไทยในระยะถัดไปยังเผชิญกับความเสี่ยงของนโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีความไม่แน่นอนสูง (iii) สำหรับการบริโภคภาคเอกชนที่ลดลงในหมวดบริการอาจชี้ถึงกำลังซื้อของครัวเรือนที่ชะลอลงหลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ และ (iv) แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวอ่อนแอลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกดังกล่าว ล่าสุดวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 ขยายตัว 2.1% ภายใต้สมมติฐานของอัตราภาษีที่สหรัฐฯยังคงเรียกเก็บกับไทยในระดับปัจจุบันที่ 10%

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 คาดกนง.ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในช่วงครึ่งหลังของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ -0.57% YoY ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องจาก -0.22% ในเดือนเมษายน โดยมีปัจจัยหลักจาก (i) การลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักและผลไม้ตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น (ii) ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานที่ปรับลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลก และ (iii) ฐานราคาสินค้าในปีก่อนที่อยู่ในระดับสูง ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 1.09% เพิ่มขึ้นจาก 0.98% ในเดือนเมษายน สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.48% และ 0.95% ตามลำดับ
วิจัยกรุงศรีประเมินอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีปัจจัยหลักจากราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กอปรกับมาตรการภาครัฐในการตรึงราคาค่าไฟฟ้าและก๊าซหุงต้ม รวมทั้งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในปีนี้หนุนให้ผลผลิตภาคเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแอ สะท้อนจากการบริโภคภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 0.6% ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการต่อเนื่องเป็นปีที่สอง
สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจในประเทศ บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธปท. อาจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้
