ติดเครดิตบูโร เครดิตเสีย จะแก้ยังไงให้ดูดีเหมือนใหม่
เพื่อชีวิตสบาย
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ติดเครดิตบูโร เครดิตเสีย จะแก้ยังไงให้ดูดีเหมือนใหม่

icon-access-time Posted On 12 มกราคม 2566
by Krungsri The COACH
หลาย ๆ คนคงเป็นกังวลกับการติด “เครดิตบูโร” หรือ “ถูกแบล็กลิสต์” กันไม่น้อยเลย และแน่นอนว่าจังหวะชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลงบ้าง บางทีก็หมุนเงินไม่ทันเอาไปปิดยอดหนี้บัตรเครดิต หรือเงินอาจจะเข้าช้าไปบ้าง จึงทำให้เป็นสาเหตุทำให้หลาย ๆ คนอาจจะติดเครดิตบูโรได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การติดเครดิตบูโรกับถูกแบล็กลิสต์นั้นต่างกัน วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่า เครดิตบูโรคืออะไร ติดเครดิตบูโร ติดกี่ปีถึงจะหลุด เครดิตบูโรเช็กอะไรบ้าง? และต่างกันอย่างไรกับถูกแบล็กลิสต์ รวมถึงบอกวิธีแก้เครดิตเสียให้กลับมาดีอีกครั้ง
เครดิตบูโร คืออะไร

เครดิตบูโร คืออะไร?

เครดิตบูโร (Credit Bureau) หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau) เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูลบัญชีสินเชื่อและประวัติการชำระสินเชื่อทุกประเภทของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งส่งมาจากสถาบันการเงินและบริษัทที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรที่เราเรียกกันว่า “ข้อมูลเครดิต” บุคคลทั่วไปสามารถเช็กสุขภาพทางการเงินของตนเองได้โดยยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่าน โมบายแอปพลิเคชัน หรือช่องทางการให้บริการต่าง ๆ เช่น ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร เคาเตอร์ธนาคาร ธนาคารออนไลน์ ตู้ ATM หรือที่ทำการเคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์ที่ให้บริการ เป็นต้น โดยสามารถตรวจสอบได้ทุกปี เหมือนเช็กสุขภาพประจำปีได้เลย เผื่อพบอะไรผิดปกติจะได้แก้ไขทัน
 

ตัวอย่างรหัสสถานะเครดิตบูโร พร้อมความหมาย

  • 01 หรือ 010 : ปกติ ไม่มีหนี้ชำระเกินกว่า 90 วัน (ดีที่สุด)
  • 11 หรือ 011 : ปิดบัญชี ลูกหนี้ชำระหนี้หมด หรือชำระครบตามยอดในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้
  • 12 หรือ 012 : พักชำระหนี้ตามนโยบายของสมาชิก
  • 13 หรือ 013 : พักชำระหนี้ตามนโยบายรัฐ
  • 14 หรือ 014 : พักชำระหนี้เกษตรตามนโยบายรัฐ
  • 20 หรือ 020 : มีหนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน
  • 21 หรือ 021 : มีหนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน โดยมีสาเหตุจากการได้รับผลกระทบในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
  • 30 หรือ 030 : อยู่ในระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย
  • 31 หรือ 031 : อยู่ระหว่างชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม
  • 32 หรือ 032 : ศาลยกฟ้องเนื่องจากคดีขาดอายุความ
  • 33 หรือ 033 : ปิดบัญชีเนื่องจากตัดหนี้สูญ ทั้งจากการที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่ติดใจทวงถาม
  • 40 หรือ 040 : อยู่ระหว่างสินเชื่อเพื่อปิดบัญชี ลูกหนี้จะไม่สามารถใช้บัญชีได้จนกว่าจะชำระหนี้ให้เรียบร้อยตามข้อตกลง
  • 42 หรือ 042 : มีการโอนขายหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน
  • 43 หรือ 043 : ลูกหนี้ชำระหนี้ที่ถูกโอน หรือขายหนี้ไปยังนิติบุคคลอื่นเรียบร้อยแล้ว
  • 44 หรือ 044 : มีการโอน หรือขายหนี้ที่สถานะบัญชีปกติ
 

ติดเครดิตบูโร ใช้เวลากี่ปีถึงจะหลุด

โดยทั่ว ๆ ไป เครดิตบูโรจะแสดงประวัติสินเชื่อย้อนหลัง 3 ปี กรณีถ้าเราปิดหนี้หมดเลย ไม่ได้ใช้เครดิตแล้ว รายงานประวัติสินเชื่อในเครติดบูโรก็จะค่อย ๆ ถอยไป ๆ ทีละเดือนจนครบ 36 เดือน หรือ 3 ปี ก็จะไม่เห็นรายงานแล้ว หรือกรณีที่ลูกค้าผิดนัดชำระหนี้และค้างชำระเกิน 90 วัน ปัจจุบันกำหนดให้สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลสินเชื่อคงค้างให้บริษัทข้อมูลเครดิตต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ค้างชำระเกิน 90 วัน พอครบ 5 ปี ก็ไม่ใช่รายงานจะหายไปทันที จะกลับไปเหมือนกรณีที่เราปิดหนี้หมดแล้วคือ ประวัติจะค่อย ๆ ขยับถอยออกไป กว่าจะถอยออกจากรายงานหมดก็อีก 3 ปี บางคนบางหนี้เสียพ้น 3 ปีก็กู้ใหม่ได้แล้ว อันนี้อย่าลืมว่าประวัติการใช้สินเชื่อของเราไม่ได้มีอยู่ที่เครดิตบูโรอย่างเดียวนะ แต่สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการการเงินก็ยังเก็บข้อมูลไว้อยู่ จะนานมากน้อยแค่ไหน 10 ปี 20 ปี หรือนานกว่านั้นก็แล้วแต่เกณฑ์ของแต่ละสถาบัน ซึ่งก็กระทบต่อการขอใช้เครดิตในอนาคตได้ทั้งนั้น
 

เมื่อติดเครดิตบูโรอยู่สามารถขอสินเชื่อได้ไหม

ยังสามารถขอสินเชื่อเพื่อคนติดเครดิตบูโรได้อยู่ โดยจะมีข้อดีตรงที่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่เช็กเครดิตบูโร แต่จะต้องใช้หลักทรัพย์เป็นประกันสำหรับการยื่นขอสินเชื่อแทน เช่น บ้าน รถยนต์ หรือที่ดิน ซึ่งคุณสามารถขอสินเชื่อนี้ไปเคลียร์หนี้ให้เรียบร้อย เพื่อสร้างเครดิตทางการเงินใหม่ที่ดีได้ นับเป็นหนึ่งในเทคนิคปลดหนี้ไวที่หลายคนนิยมทำกัน และมีประสิทธิภาพมาก

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะขอสินเชื่อใหม่ แนะนำให้วางแผนให้ดี อย่าขอสินเชื่อบ่อยจนเกินไป และต้องชำระหนี้ให้ตรงเวลา เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับคะแนนเครดิต (Credit Score) ของคุณ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อใหม่ ๆ ในอนาคตได้

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว น่าจะเห็นภาพตรงกันว่าเครดิตนั้นสำคัญแค่ไหน หลายคนคงพอจะมีไอเดียในการจัดการ หรือแก้ไขเครดิตบูโร ให้กลับมาดีได้อีกครั้งแล้ว แต่ถ้าใครอยากฟังรวดเดียวยาว ๆ ขอแนะนำ “Krungsri The COACH Ep.46 จ่ายหนี้ช้า เครดิตเสีย ต้องทำยังไง?” เข้าไปฟังกันต่อได้เลย

แบล็กลิสต์ คืออะไร?

แบล็กลิสต์ (Blacklist) มักจะเป็นคำพูดติดปากที่คนทั่วไปมักจะใช้เรียกแทนพฤติกรรมการชำระเงินที่ไม่มีวินัย จนเป็นหนี้เสีย ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าคำนี้มาจากเครดิตบูโร ขอย้ำชัด ๆ กันตรงนี้อีกทีว่า ติดเครดิตบูโร มีหน้าที่จัดเก็บรักษารวบรวมและประมวลผลข้อมูลสินเชื่อของลูกค้าสถาบันการเงินตามที่สถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นสมาชิกจัดทำให้เท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ "ขึ้นบัญชีดำ" หรือ Blacklist อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกัน

เราบริหารเครดิตไม่ดี ชำระไม่ตรง สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงินก็แค่ส่งรายการไปที่เครดิตบูโร ตามความเป็นจริงตามช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ผลแห่งการกระทำก็จะสะท้อนผลให้เห็นเมื่อเราไปสมัครสินเชื่อ หรือบัตรเครดิต แล้วไม่ได้รับอนุมัติ ซึ่งเกณฑ์การพิจารณาตรงนี้จะเข้มข้นแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันจะกำหนด

การขอสินเชื่อและได้รับการอนุมัติ โดยปกติแล้วก็จะมีวันที่ครบกำหนดชำระ ซึ่งหากกรณีเรามีการชำระค่างวดล่าช้า ก็จะมีการติดตามทวงถามหนี้ซึ่งส่วนนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเราจะมายกตัวอย่างของสินเชื่อส่วนบุคคลกันให้ดูกันว่า ถ้าเราชำระหนี้ล่าช้า จะเกิดอะไรขึ้น จะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

ตัวอย่างค่าใช้จ่าย การผิดนัดชำระหนี้หรือชำระหนี้ล่าช้า

ตัวอย่างการผิดนักชำระสินเชื่อส่วนบุคคล

ค่าทวงถามหนี้ สำหรับสินเชื่อบุคคลที่มียอดค้างชำระ หรือค้างชำระสะสมตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป ธนาคารเรียกเก็บครั้งแรก 50 บาท และครั้งต่อไปครั้งละ 100 บาท

ดอกเบี้ยปรับ กรณีชำระล่าช้า จะคำนวณเรียกเก็บตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระ โดยคิดบวกเพิ่ม 1% - 3% ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ค้างชำระ

พอจะเข้าใจความหมายของเครดิตบูโร และการติดแบล็กลิสต์กันมาพอสังเขปแล้ว และถ้าเราเป็นหนึ่งในคนที่กำลังประสบปัญหาอยู่ก็อย่าเป็นกังวลไปเลย เพราะเรามีทางแก้ไข และสร้างประวัติทางการเงินที่ไม่ดีให้กลับมาดีใหม่ได้อีกครั้ง อีกทั้งยังสามารถขอสินเชื่อใหม่ได้อีกด้วย

ติดแบล็กลิสต์กับติดเครดิตบูโรต่างกันอย่างไร

มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยการติดแบล็กลิสต์ในสถาบันทางการเงิน “ไม่มีอยู่จริง” หากคุณผิดนัดชำระหนี้ หรือค้างชำระหนี้เกินระยะเวลาที่กำหนด ทางสถาบันการเงินจะส่งข้อมูลไปที่เครดิตบูโร เพื่อบันทึกสถานะเครดิตบูโรของคุณใหม่ ซึ่งสถานะเครดิตบูโรเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการอนุมัติสินเชื่อในครั้งถัดไป โดยอาจทำให้อนุมัติได้ยากขึ้น หรือได้วงเงินน้อยลงกว่าเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นการขึ้นบัญชีดำจนคุณไม่สามารถขอสินเชื่อใหม่ได้อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกัน

ติดเครดิตบูโร มีวิธีแก้ไขอย่างไร

การติดเครดิตบูโร ทั้งสถานะค้างชำระ หรือสถานะทางกฎหมาย สามารถแก้ไขได้ด้วยการชำระหนี้ที่มีอยู่ให้หมด หลังจากนั้นรหัสสถานะเครดิตบูโรของคุณจะกลับมาเป็น “11” ซึ่งหมายถึงการปิดบัญชี โดยที่ลูกหนี้ชำระหนี้หมด หรือชำระครบตามยอดในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว

สำหรับใครที่วางแผนจะขอสินเชื่อก้อนใหญ่ เช่น สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อบ้าน ในระหว่างที่รอให้ประวัติการค้างชำระหายไป แนะนำให้ขอสินเชื่อบัตรเครดิตมาใช้งาน และชำระหนี้ให้เต็มจำนวน หรือชำระตามข้อตกลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างเครดิตทางการเงินใหม่ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาแล้ว ประวัติเครดิตที่เสียหายไป และถูกแทนที่ด้วยประวัติเครดิตใหม่ที่ดี คุณก็สามารถขอสินเชื่อก้อนใหญ่ตามแผนที่วางไว้ได้เลย

Krungsri The COACH แนะนำ : ไม่อยากเสียเครดิต ติดบูโร ทำอย่างไรได้บ้าง

ตัวอย่างการผิดนักชำระสินเชื่อส่วนบุคคล

หากเรายังสามารถที่จะใช้หนี้โดยที่ยังมีเงินเหลือใช้อยู่ สิ่งที่ทำได้จะเป็น ดังต่อไปนี้
  1. สรุปหนี้ที่ยังมีรายการค้างชำระอยู่ ตัวอย่างเช่น เป็นหนี้กับสถาบันการเงินไหนไว้ และเป็นในจำนวนเท่าไหร่ มีรายละเอียดดอกเบี้ยและต้องชำระต่องวดเท่าไหร่
  2. วางแผนการชำระเงิน ลองคำนวณดูว่าหนี้ก้อนไหนที่คิดว่าสามารถจัดการให้หมดได้ไวที่สุด จะได้เพิ่มยอดชำระแต่ละงวดเพื่อที่หนี้ก้อนนั้นจะหมดลงไวที่สุด และยิ่งถ้าหากหนี้ก้อนไหนมีการคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกยิ่งควรรีบทำการปิดหนี้ให้โดยเร็วที่สุดเลย
  3. พยายามใช้หนี้ให้ตรงต่อเวลาทุกงวด เพราะจะมีผลต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อใหม่ในอนาคต
  4. นำเงินก้อนมาปิดชำระหนี้ ตัวอย่างเช่น เมื่อได้เงินโบนัส หรือเงินค่าคอมมิชชั่น หรือเงินพิเศษอื่น ๆ มา หลังจากแบ่งส่วนเก็บออมแล้ว ก็อย่าลืมที่จัดสรรบางส่วนมาโปะหนี้ที่มีอยู่ หนี้ลดก็ปลดหนี้ไว
  5. รีไฟแนนซ์ หรือใช้บริการโอนยอดหนี้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ประหยัดดอกเบี้ย และเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้เรามากขึ้น
  6. อย่าก่อหนี้เพิ่ม พยายามอย่าสร้างภาระหนี้สินให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากตอนนี้จำเป็นมากที่จะต้องโฟกัสที่การชำระหนี้ที่มีให้หมดก่อน

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อแก้ไขเครดิตเสีย คือการปิดหนี้ให้ครบถ้วน และรอเวลาให้เครดิตบูโรถอยจนไม่เห็นรายงานข้อมูลเครดิตของเราเพียงเท่านี้ก็จะไม่ถือว่าติดเครดิตบูโรแล้ว อย่างไรก็ตามการรักษาเครดิตให้ดี ชำระหนี้ให้ตรงเวลา ยังคงเป็นทางที่จะส่งผลดีต่อสภาพคล่องและการขอสินเชื่ออื่น ๆ ในอนาคต
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา