ประกันสังคมมาตรา 33 รวมสิทธิที่มนุษย์เงินเดือนควรรู้
เพื่อชีวิตสบาย

รู้ไว้ไม่พลาด ประกันสังคมมาตรา 33, 39, 40 ต่างกันอย่างไร

icon-access-time Posted On 14 ตุลาคม 2568
By Krungsri The COACH
ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือน คนว่างงาน หรือฟรีแลนซ์ การมีหลักประกันที่มั่นคงเพื่อรองรับความเสี่ยงในชีวิตถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ระบบประกันสังคมจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยคุ้มครองคนทำงานทุกคน

แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า ประกันสังคมมาตรา 33 ประกันสังคมมาตรา 39 และประกันสังคมมาตรา 40 ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ นั้นแตกต่างกันอย่างไร และเราควรเลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ในบทความนี้ Krungsri The COACH จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุม เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ๆ เพื่อให้คุณเข้าใจสิทธิประโยชน์ของแต่ละมาตรา

“ประกันสังคมมาตรา 33” หลักประกันภาคบังคับของมนุษย์เงินเดือน

ประกันสังคมมาตรา 33 คือ ระบบประกันสังคมภาคบังคับสำหรับลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการ หรือบริษัทเอกชน ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป โดยผู้ประกันตนจะต้องมีอายุระหว่าง 15-60 ปีบริบูรณ์ ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ขึ้นทะเบียนให้ลูกจ้างทุกคน สิทธิประกันสังคมมาตรา 33 ถือเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่สำคัญ เพราะให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึง 7 กรณี ทำให้มนุษย์เงินเดือนมีความมั่นคงในชีวิต
 
 

ข้อดีหลักของประกันสังคมมาตรา 33

  • มีหลักประกันให้กับชีวิตระหว่างการทำงาน : โดยมนุษย์เงินเดือนที่ทำประกันสังคมมาตรา 33 จะได้รับความคุ้มครองด้วยกัน 7 กรณี ประกอบด้วย การว่างงาน ประสบอันตรายหรือได้รับความเจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ทุพพลภาพ ชราภาพ และเสียชีวิต
  • สิทธิในการทำทันตกรรม และตรวจสุขภาพประจำปี : เป็นสิทธิประโยชน์ที่ได้รับทุกปี โดยสิทธิในการทำทันตกรรมจะได้รับสูงสุดไม่เกิน 900 บาท/ปี และสามารถเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีได้ฟรี ณ โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ
  • ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี : ตามสิทธิประกันสังคม ม.33 ผู้ประกันตนสามารถนำจำนวนเบี้ยสมทบ ม.33 ประกันสังคมไปขอลดหย่อนภาษีในปีภาษีนั้น ๆ ได้ โดยสามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง และสูงสุด 9,000 บาท
 

“ประกันสังคมมาตรา 39” ทางเลือกสำหรับคนเคยทำงานประจำ

ประกันสังคมมาตรา 39 คือ การประกันตนภาคสมัครใจสำหรับบุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาก่อน แต่ได้ลาออกจากงาน และต้องการรักษาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมให้ต่อเนื่อง

เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเคยส่งเงินสมทบตามมาตรา 33 มาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และต้องสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ลาออก ผู้ประกันตนมาตรานี้จะต้องนำส่งเงินสมทบจำนวน 432 บาทต่อเดือนด้วยตนเอง และจะได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี (ยกเว้นกรณีว่างงาน)
 

“ประกันสังคมมาตรา 40” หลักประกันเพื่อฟรีแลนซ์ และอาชีพอิสระ

ประกันสังคมมาตรา 40 คือ ระบบประกันสังคมภาคสมัครใจที่ออกแบบมาเพื่อแรงงานนอกระบบ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง เช่น ฟรีแลนซ์ พ่อค้าแม่ค้า วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งไม่เข้าข่ายผู้ประกันตนมาตรา 33 และไม่เคยสมัครมาตรา 39 มาก่อน โดยผู้สมัครต้องมีอายุ 15-65 ปีบริบูรณ์

จุดเด่นของประกันสังคม มาตรา 40 คือสามารถเลือกความคุ้มครอง และเงินสมทบได้ 3 รูปแบบตามความต้องการ ดังนี้
  • ทางเลือกที่ 1 : จ่ายเงินสมทบ 70 บาท/เดือน คุ้มครอง 3 กรณี (เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต)
  • ทางเลือกที่ 2 : จ่ายเงินสมทบ 100 บาท/เดือน คุ้มครอง 4 กรณี (เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต และบำเหน็จชราภาพ)
  • ทางเลือกที่ 3 : จ่ายเงินสมทบ 300 บาท/เดือน คุ้มครอง 5 กรณี (เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, บำเหน็จชราภาพ และสงเคราะห์บุตร)
 

สรุปครบจบที่เดียว ! ตารางเปรียบเทียบประกันสังคมมาตรา 33, 39, และ 40

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าประกันสังคมมาตรา 33, 39 และ 40 ต่างกันอย่างไร Krungsri The COACH ได้สรุปข้อมูลสำคัญมาในรูปแบบตารางเพื่อให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น
 
หัวข้อเปรียบเทียบ ประกันสังคมมาตรา 33 ประกันสังคมมาตรา 39 ประกันสังคมมาตรา 40
คุณสมบัติผู้สมัคร ลูกจ้างบริษัทเอกชน
(อายุ 15-60 ปี)
เคยเป็นผู้ประกันตน ม.33 มาก่อน อาชีพอิสระ/ฟรีแลนซ์
(อายุ 15-65 ปี)
สถานะ ภาคบังคับ ภาคสมัครใจ ภาคสมัครใจ
เงินสมทบ (ต่อเดือน) 5% ของค่าจ้าง
(สูงสุด 750 บาท)
432 บาท เลือกได้ 3 ทาง :
70 / 100 / 300 บาท
ผู้จ่ายเงินสมทบ ลูกจ้าง, นายจ้าง, รัฐบาล ผู้ประกันตน, รัฐบาล ผู้ประกันตน, รัฐบาล
ความคุ้มครอง 7 กรณี 6 กรณี
(ไม่คุ้มครองกรณีว่างงาน)
3-5 กรณี
(ขึ้นอยู่กับทางเลือก)
สิทธิประโยชน์ชราภาพ บำเหน็จ / บำนาญ บำเหน็จ / บำนาญ
(นับต่อเนื่องจาก ม.33)
บำเหน็จ
(มีเงินสมทบจากรัฐ)

เงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 นำไปใช้ทำอะไรบ้าง ?

เงินสมทบของประกันสังคมสำหรับมาตรา 33 ที่ผู้ประกันตนจ่ายทุก ๆ เดือนนั้น จะถูกนำไปจัดสรรแบ่งออกเป็น 3 ส่วน หากยกตัวอย่างการจ่ายเงินสมทบต่อเดือนสูงสุดที่ 750 บาท จะถูกนำไปจัดสรรตามสัดส่วนดังนี้
  • ส่วนที่ 1 : อัตรา 1.5% จำนวน 225 บาท สำหรับคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และคลอดบุตร
  • ส่วนที่ 2 : อัตรา 0.5% จำนวน 75 บาท สำหรับคุ้มครองกรณีว่างงาน
  • ส่วนที่ 3 : อัตรา 3% จำนวน 450 บาท สำหรับคุ้มครองสิทธิประโยชน์การสงเคราะห์บุตร หรือชราภาพ ซึ่งในส่วนนี้คือเงินสะสม และจะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์

จากการจัดสรรเงินข้างต้นสรุปได้ว่า เงินสมทบที่เราจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 2% ของเงินสมทบจะถูกใช้สำหรับคุ้มครองผู้ประกันตน 7 กรณี และ 3% ของเงินสมทบจะถูกแบ่งไว้สำหรับการเก็บออมเพื่อการเกษียณอายุในกองทุนประกันสังคมเพื่อความชราภาพ

นอกจากนี้เงินสมทบที่ถูกหักไว้ ผู้จัดการกองทุนประกันสังคม (Social Security Fund) ก็มีหน้าที่นำเงินเหล่านี้ไปบริหารให้ได้รับผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น โดยจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ตั้งแต่สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ ไปจนถึงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างตราสารทุน หุ้นต่าง ๆ เป็นต้น
 

เจาะลึกสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมมาตรา 33

เรามาเช็กสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ม.33 กันดีกว่าว่าความคุ้มครองใน 7 กรณี มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมได้อย่างคุ้มค่า
 

1. กรณีว่างงาน

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงานหรือถูกเลิกจ้าง และมีระยะว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป สามารถขึ้นทะเบียนเพื่อรับเงินทดแทนกรณีว่างงานได้ โดยจะต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน หรือลงทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้านภายใน 30 วัน นับจากวันที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้าง และต้องรายงานตัวตามนัดไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง จึงจะได้รับเงินทดแทนประกันสังคม โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
  • ถูกเลิกจ้าง : จะได้เงินทดแทน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ปีละไม่เกิน 180 วัน
  • ลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง : จะได้รับเงินทดแทน 30% ของค่าจ้างเฉลี่ย ปีละไม่เกิน 90 วัน
 

2. กรณีประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเข้ารับการรักษา จะได้รับสิทธิรักษาพยาบาล โดยแยกเป็นแต่ละกรณี ดังนี้

2.1 รักษาในสถานพยาบาลที่ได้ลงทะเบียนไว้กับระบบประกันสังคม และเครือข่ายของโรงพยาบาลตามสิทธิ สามารถเข้ารักษาพยาบาลได้ฟรี ทั้งแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน รวมถึงการรับบริการตรวจสุขภาพและฟื้นฟูสมรรถภาพหลังเจ็บป่วยด้วย

2.2 ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครองตามสิทธิที่ประกันสังคมจ่ายให้ คือ

โรงพยาบาลรัฐ
  • ผู้ป่วยนอก ประกันสังคมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตามจริง
  • ผู้ป่วยใน จ่ายให้ตามจริง ไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก โดยไม่รวมวันหยุดราชการ และมีค่าห้องและอาหารให้ตามจริงไม่เกิน 700 บาท/วัน

โรงพยาบาลเอกชน
  • ผู้ป่วยนอก จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตามจริง สูงสุด 1,000 บาท
  • ผู้ป่วยในที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก โดยไม่รวมวันหยุดราชการ สูงสุดวันละ 2,000 บาท และมีค่าห้องและอาหารตามจริงไม่เกิน 700 บาท/วัน
  • ผู้ป่วยในที่รักษาในห้อง ICU จ่ายให้ตามจริง สูงสุดวันละ 4,500 บาท รวมค่าห้อง ค่าอาหาร และค่ารักษาพยาบาล
  • หากผู้ป่วยตามสิทธิประกันสังคม ม.33จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ จ่ายให้ตามจริง ครั้งละ 8,000-16,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาผ่าตัด
  • ค่าฟื้นคืนชีพ จ่ายให้ตามจริง ไม่เกิน 4,000 บาท/ราย
  • ค่าเอกซเรย์ จ่ายให้ตามจริง ไม่เกิน 1,000 บาท/ราย
  • ค่าตรวจรักษา และค่าบริการอื่น ๆ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่หนังสือคู่มือผู้ประกันตน

2.3 ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลที่ใกล้เคียงได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องสำรองจ่าย และไม่เกิน 72 ชั่วโมง

2.4 ทันตกรรม
  • กรณีขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และผ่าฟันคุด จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 900 บาท/ปี
  • ใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน จ่ายค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียมให้ตามจริง ไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม
  • ใส่ฟันเทียมถอดได้ทั้งปาก จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม

2.5 เงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีที่แพทย์ระบุให้หยุดทำงานเพื่อพักรักษาตัวให้หายดี จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ครั้งละไม่เกิน 90 วัน และจะได้รับปีละไม่เกิน 180 วัน ทั้งนี้หากป่วยและต้องหยุดงานด้วยโรคเรื้อรัง จะได้รับเงินทดแทนไม่เกิน 365 วัน
 

3. กรณีคลอดบุตร

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนวันคลอดบุตร จะสามารถเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แบบเหมาจ่ายกรณีคลอดบุตร ในอัตรา 15,000 บาท/การคลอดบุตรหนึ่งครั้ง ส่วนค่าตรวจและฝากครรภ์ เบิกได้ตามจริงจำนวน 5 ครั้ง รวมสูงสุดไม่เกิน 1,500 บาท

สำหรับสิทธิประกันสังคมมาตรา 33 เพิ่มเติมของผู้ประกันตนหญิง จะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่าย 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลา 90 วัน สูงสุด 2 ครั้ง

ทั้งนี้หากสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรจะใช้ได้จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น และไม่จำกัดจำนวนบุตรต่อครั้งที่ใช้สิทธิ
 

4. กรณีสงเคราะห์บุตร

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน ภายใน 36 เดือนก่อนขอรับเงินสงเคราะห์บุตร จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรแบบเหมาจ่าย จำนวน 800 บาท/เดือน/บุตร 1 คน และสูงสุดครั้งละ 3 คน โดยบุตรนั้นต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะได้รับตั้งแต่อายุแรกเกิดจนครบ 6 ปีบริบูรณ์ และหากผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตายในระหว่างนั้น จะยังไม่ได้รับสิทธินี้ต่อไปจนบุตรอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
 

5. กรณีทุพพลภาพ

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนทุพพลภาพ จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ประกอบด้วย

5.1 เงินทดแทนการขาดรายได้<
  • กรณีทุพพลภาพรุนแรง : ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ได้รับเป็นรายเดือนตลอดชีวิต
  • กรณีทุพพลภาพไม่รุนแรง : ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ไม่เกิน 180 เดือน

5.2 ค่าบริการทางการแพทย์
  • สถานพยาบาลของรัฐบาล : รับการรักษาด้วยค่าบริการทางการแพทย์ตามจริง ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
  • สถานพยาบาลเอกชน : สิทธิประกันสังคม ม.33 ให้เบิกได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,000 บาท/เดือน สำหรับผู้ป่วยนอก กรณีผู้ป่วยในเบิกได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน หากต้องใช้รถพยาบาลรับส่ง เหมาจ่ายให้ไม่เกินเดือนละ 500 บาท และมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จิตใจ และอาชีพ ในอัตราตามที่ประกาศฯ กำหนด

5.3 เงินสงเคราะห์กรณีถึงแก่ความตาย
  • หากผู้ประกันตนเสียชีวิตในขณะที่ทุพพลภาพ จะได้รับเงินค่าทำศพ 50,000 บาท โดยมอบให้ผู้จัดการศพ
  • กรณีที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 3 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
  • กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน
 

6. กรณีชราภาพ

สำหรับเงินทดแทนกรณีชราภาพ จะแยกออกเป็น 2 กรณี โดยผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของประกันสังคมเท่านั้น คือ

6.1 เงินบำเหน็จชราภาพ สำหรับผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 180 เดือน และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย มีสิทธิรับเงินบำเหน็จโดยจ่ายเป็นก้อนเดียว และแยกเป็น 2 เงื่อนไข คือ
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 1-11 เดือน : จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายฝ่ายเดียว
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12-179 เดือน : จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตน และนายจ้างจ่ายเงินสมทบ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน

6.2 เงินบำนาญชราภาพ สำหรับผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 180 เดือน และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย มีสิทธิรับเงินบำนาญซึ่งจะจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต และแยกเป็น 2 เงื่อนไข คือ<
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน : จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือน ในอัตรา 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย และใช้อัตราสูงสุด 15,000 บาท เป็นฐานในการคำนวณ
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน : เงินบำนาญตามข้อ 1 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในอัตราปีละ 1.5%

ทั้งนี้หากผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว แต่เสียชีวิตหลังได้รับสิทธิภายใน 60 เดือน ทายาทจะได้รับเงินทดแทนเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ ในอัตรา 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพในเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
 

7. กรณีเสียชีวิต

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนถึงแก่ความตาย ผู้จัดการศพจะได้รับเงินค่าทำศพ 50,000 บาท และจะได้รับเงินสงเคราะห์ 2 กรณี
  • กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 36 เดือน แต่ไม่ถึง 120 เดือน : จะได้รับเงินสงเคราะห์จำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
  • กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือน : จะได้รับเงินสงเคราะห์จำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน โดยผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามมาตรา 33 ในกรณีนี้จะต้องเป็นบุตร สามี/ภรรยา บิดา/มารดา หรือบุคคลที่ผู้ประกันตนระบุไว้ในหนังสือ
 

ประกันสังคมแต่ละมาตราต้องจ่ายเบี้ยต่อเดือนเท่าไร ?

หลังจากเช็กสิทธิประกันสังคม ม.33 กันไปแล้ว ทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบันผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 จะต้องจ่ายเงินสมทบ 5% ของรายได้ต่อเดือน โดยคิดจากฐานค่าจ้างขั้นต่ำสุดที่ 1,650 บาท/เดือน และสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ดังนั้นผู้ประกันตนที่ได้รับเงินค่าจ้างต่ำสุด จะต้องจ่ายเงินสมทบอยู่ที่ 83 บาท/เดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป จะต้องจ่ายเงินสมทบจำนวน 750 บาท/เดือน ซึ่งแตกต่างจากประกันสังคมมาตรา 39 ที่จ่ายอัตราคงที่ 432 บาท และมาตรา 40 ที่เริ่มต้นเพียง 70 บาทต่อเดือน
 
ประกันสังคมมาตรา 33 จ่ายเบี้ยต่อเดือน
 

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันสังคม

เพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องประกันสังคมได้ดียิ่งขึ้น Krungsri The COACH ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยมาตอบให้หายสงสัยกัน
 

สิทธิ ม.33 ต่างจาก ม.39 อย่างไร ?

สิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงาน จะมีเฉพาะในประกันสังคมมาตรา 33 เท่านั้น ส่วนสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีก 6 กรณี (เจ็บป่วย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, สงเคราะห์บุตร, ชราภาพ, เสียชีวิต) ยังคงได้รับความคุ้มครองเหมือนกัน
 

เงินประกันสังคม อายุ 55 ได้กี่บาท ?

จำนวนเงินที่จะได้รับขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ หากส่งเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน (15 ปี) จะได้รับเป็นบำเหน็จชราภาพ (รับเงินก้อน) ถ้าสมทบครบ 180 เดือนขึ้นไป จะได้รับเป็นบำนาญชราภาพ (รับเงินรายเดือน) โดยคำนวณจาก 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย และจะบวกเพิ่มอีก 1.5% สำหรับทุก ๆ 12 เดือนที่ส่งเงินสมทบเกิน 180 เดือน
 

เปลี่ยนประกันสังคม มาตรา 33 เป็น 39 ใช้เอกสารอะไรบ้าง ?

หากต้องการเปลี่ยนสถานะจากผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นมาตรา 39 ต้องยื่นใบสมัคร (แบบฟอร์ม สปส. 1-20) พร้อมบัตรประจำตัวประชาชน ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่สะดวก ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ลาออกจากงาน
 

ประกันสังคมมาตรา 33 หักเงินเดือนสูงสุดเท่าไหร่ ?

ปัจจุบัน ประกันสังคมมาตรา 33 จะหักเงินสมทบ 5% ของค่าจ้าง โดยมีเพดานค่าจ้างสูงสุดที่ 15,000 บาท ดังนั้นจะถูกหักเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 750 บาทต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป เพดานค่าจ้างจะมีการปรับขึ้นเป็นขั้นบันได โดยในปี 2569-2571 จะมีเพดานสูงสุดอยู่ที่ 17,500 บาท และต้องจ่ายสูงสุด 875 บาทต่อเดือน
 

เงินชดเชยประกันสังคมกรณีลาออกได้กี่เดือน ?

ในกรณีที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ลาออกเอง จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน 30% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 90 วัน หรือ 3 เดือน ภายใน 1 ปีปฏิทิน
 

สรุปบทความ

การทำความเข้าใจความแตกต่างของประกันสังคมแต่ละมาตรา ทั้งประกันสังคมมาตรา 33, 39 และ 40 จะช่วยให้เราสามารถเลือกรูปแบบหลักประกันที่เหมาะสมกับเส้นทางอาชีพของตนเองได้มากที่สุด และใช้สิทธิประโยชน์ที่มีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนสำหรับใครที่คิดว่าอยากเพิ่มความคุ้มครองด้วยตัวเองให้มากขึ้น สามารถติดต่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนชีวิต การเงิน การลงทุนจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ที่ช่องทางฮอตไลน์ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน


อ้างอิง
pym logo
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา