เมื่อความคิดที่จะ “ลาออก” แวบเข้ามาในหัว คำถามสำคัญที่ตามมาติด ๆ คงหนีไม่พ้น
แล้วเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เราสะสมมา จะได้คืนเท่าไหร่ ? มาเช็กสิทธิ์ และเงื่อนไขสำคัญของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกันให้ชัดเจน ก่อนตัดสินใจยื่นใบลาออก เพื่อให้คุณคำนวณเงินก้อนสุดท้ายได้อย่างแม่นยำ และวางแผนก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจที่สุด
แต่ก่อนที่เราจะไปดูว่า ลาออกจากงานแล้วจะได้เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่าไหร่ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกันก่อน เพื่อให้คุณเข้าใจสิทธิประโยชน์ของสวัสดิการนี้มากขึ้น
กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ คืออะไร ?
กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ (Provident Fund หรือ PVD) คือ กองทุนที่ลูกจ้าง และนายจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อเป็นแหล่งเงินออมระยะยาวให้แก่ลูกจ้าง โดยเงินในกองทุนจะมาจาก 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
- เงินสะสม : เป็นเงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุน โดยกฎหมายกำหนดให้สะสมได้ตั้งแต่ 2 - 15% ของเงินเดือน ซึ่งลูกจ้างจะเป็นคนกำหนดจำนวนเงินเอง และจะถูกหักจากเงินเดือนโดยอัตโนมัติ
- เงินสมทบ : เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเพิ่มเข้าไปในกองทุนให้ลูกจ้างอีกส่วน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างสมทบได้ตั้งแต่ 2 - 15% เช่นกัน
หลังจากนั้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในนโยบายที่เลือกไว้เพื่อให้งอกเงย โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเป็นเงินก้อนสำหรับใช้จ่ายเมื่อเกษียณอายุ ลาออกจากงาน หรือเป็นหลักประกันทางการเงินให้แก่ครอบครัวกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต
ข้อดีของการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสวัสดิการทางการเงินที่มีประโยชน์มากกว่าแค่การออมเงิน แต่ยังมอบสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย
1. ได้รับเงินก้อนไว้ใช้ในวัยเกษียณ หรือลาออกจากงาน
หัวใจสำคัญของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือการสร้างความมั่นคงทางการเงินในช่วงที่เราสิ้นสุดการเป็นพนักงาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของการเกษียณอายุ หรือการลาออกเพื่อเปลี่ยนงาน เงินที่ออม และลงทุนไว้ในกองทุนนี้จะกลายเป็นเงินก้อนสำคัญที่สามารถนำมาใช้จ่ายในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต หรือเก็บไว้เป็นทุนไว้ใช้ในช่วงวัยเกษียณนั่นเอง
2. สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
อีกหนึ่งสิทธิประโยชน์ที่โดดเด่นของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็คือ
“สิทธิประโยชน์ทางภาษี” โดยเราสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง และเมื่อรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณอายุประเภทอื่นแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท นอกจากนี้ ถ้าเรานำเงินออกจากกองทุนหลังจากที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุนมาไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินที่ได้รับจากกองทุนทั้งจำนวนก็จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีด้วย ทำให้ได้เงินออมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
3. ใช้เป็นเงินมรดกให้แก่คนในครอบครัว ในกรณีที่เสียชีวิตได้
นอกจากการเป็นแหล่งเงินออมเพื่อตัวเองแล้ว กองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังทำหน้าที่เป็นเงินมรดกให้กับคนในครอบครัวได้อีกด้วย ในกรณีที่สมาชิกเสียชีวิต เงินทั้งหมดในกองทุนจะถูกส่งมอบให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุไว้ เพื่อเป็นเงินทุนให้ครอบครัวได้ใช้จ่ายต่อไป
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลาออกได้เท่าไหร่ ?
มาถึงหัวข้อที่หลายคนอยากรู้กันแล้ว นั่นก็คือ ถ้าเราลาออกจากงานแล้ว เราจะได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่าไหร่ คำตอบก็คือ คุณจะได้รับเงินแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
เงินส่วนที่ 1 : เงินที่ลูกจ้างจ่ายสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมที่หักจากเงินเดือนทุกเดือน 100% ในทุกกรณี รวมถึง “ผลประโยชน์” ที่เกิดจากการนำเงินสะสมไปลงทุนด้วย
เงินส่วนที่ 2 : เงินสมทบของนายจ้าง
สำหรับ
“เงินสมทบ” ที่นายจ้างจ่ายให้กับเรา พร้อมทั้งผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินส่วนนี้ จะได้รับคืนเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของแต่ละบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่จะอิงตาม “อายุงาน” ของพนักงานเป็นหลัก เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ทำงานในระยะยาว ตัวอย่างเช่น
- อายุงานน้อยกว่า 1 ปี อาจได้รับเงินสมทบ 0%
- อายุงาน 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี อาจได้รับเงินสมทบ 50%
- อายุงาน 3 ปี แต่ไม่ถึง 5 ปี อาจได้รับเงินสมทบ 80%
- อายุงาน 5 ปีขึ้นไป อาจได้รับเงินสมทบ 100%
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลาออกจากงาน คุณควรตรวจสอบข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทที่ทำงานให้ชัดเจน จะได้ไม่พลาดสิทธิประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย
กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ลาออก กี่วันได้เงิน ?
ส่วนมากหลังจากยื่นเอกสารขอรับเงินเรียบร้อยแล้ว อาจใช้เวลาประมาณ 15-45 วันทำการ โดยระยะเวลาในการได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังจากลาออกจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการดำเนินงานของฝ่ายบุคคลของบริษัทนายจ้าง และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ดูแลกองทุนนั้น ๆ
ทางที่ดีที่สุด แนะนำให้สอบถามข้อมูลโดยตรงกับฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ของบริษัท เพื่อจะได้ทราบกำหนดการ และวางแผนการเงินล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
เงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องเสียภาษีไหม ?
เงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะต้องนำไปคำนวณภาษีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอายุของสมาชิก และระยะเวลาที่อยู่ในกองทุน โดยเงินสะสมของเราจะได้รับการยกเว้นภาษีเสมอ แต่เงินส่วนอื่น ๆ ได้แก่ เงินสมทบ ผลประโยชน์จากเงินสะสม และผลประโยชน์จากเงินสมทบ จะมีเงื่อนไขทางภาษีดังนี้
- กรณีอายุสมาชิกกองทุนน้อยกว่า 5 ปี : ต้องนำเงิน 3 ส่วนดังกล่าวไปรวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี
- กรณีอายุสมาชิกกองทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป : สามารถเลือกนำเงิน 3 ส่วนดังกล่าวไปยื่นภาษีแยกต่างหากจากรายได้ปกติได้ โดยจะได้รับสิทธิหักค่าใช้จ่ายพิเศษ ทำให้ภาระภาษีลดลง
- กรณีเกษียณ (อายุ 55 ปีขึ้นไป และเป็นสมาชิกมาไม่น้อยกว่า 5 ปี) : จะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งจำนวน ไม่ต้องนำเงินส่วนใด ๆ มาคำนวณภาษีเลย
จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีเงินอยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่าไร ?
สมาชิกกองทุนสามารถตรวจสอบยอดเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของตนเองได้จากเอกสารใบแจ้งยอด (Statement) ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะจัดส่งให้เป็นประจำทุกปี
นอกจากนี้ บลจ. ส่วนใหญ่ยังมีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน ที่ช่วยให้สมาชิกสามารถเข้าไปตรวจสอบยอดเงินสะสม เงินสมทบ และผลการดำเนินงานของกองทุนได้ตลอดเวลา
หากไม่ต้องการเอาเงินก้อนออกมาใช้ มีวิธีจัดการอย่างไร ?
ในกรณีที่ลาออก แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน หรือต้องการให้เงินลงทุนเติบโตต่อไป เราสามารถเลือกจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้หลายวิธี ดังนี้
1. เก็บเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิม
หากพอใจกับนโยบายการลงทุนของกองทุนเดิม สามารถแจ้งความประสงค์ขอ “คงเงิน” ไว้ในกองทุนเดิมต่อไปได้ แม้จะไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทนั้นแล้วก็ตาม ซึ่งจะทำให้เงินของเรายังคงถูกนำไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่อาจมีค่าธรรมเนียมในการรักษาสถานะสมาชิก ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 500 บาทต่อปี
2. โอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่
หากที่ทำงานใหม่มีสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราสามารถทำเรื่องโอนย้ายเงินทั้งหมดจากกองทุนเดิมไปยังกองทุนใหม่ได้ วิธีนี้จะช่วยให้นับอายุสมาชิกต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ทางภาษีในอนาคต และเป็นการรวมเงินออมไว้ในที่เดียวเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมในการโอนย้าย
3. โอนย้ายไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF for PVD)
สำหรับผู้ที่ย้ายไปทำธุรกิจส่วนตัว หรือที่ทำงานใหม่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การโอนย้ายเงินไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF for PVD) เป็นทางเลือกที่ดีมาก เพราะจะช่วยให้รักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้ได้ และสามารถนับอายุสมาชิกต่อเนื่องได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีอิสระในการเลือกนโยบายการลงทุนที่หลากหลายตามความต้องการของตนเองด้วย
Krungsri The COACH แนะนำ : 3 กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF for PVD)
หากคุณกำลังมองหากองทุนรวมที่น่าลงทุนเพื่อโอนย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุน RMF Krungsri The COACH
มี 3 กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพมาแนะนำ เพื่อวางแผนเกษียณต่อเนื่อง
กรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFGBRANRMF)
- นโยบายการลงทุน : กองทุนนี้นำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนต่อในต่างประเทศ ผ่านกองทุนหลักชื่อ Morgan Stanley Global Brands Fund ซึ่งจะคัดเลือกเฉพาะหุ้นของบริษัทที่มี “แบรนด์” แข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักทั่วโลก ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงและมีโอกาสเติบโตได้อย่างยั่งยืน
- ระดับความเสี่ยง : 6 (เสี่ยงสูง) – ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
กรุงศรีเวิลด์อิควิตี้อินเด็กซ์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KF-WORLD-INDXRMF)
- นโยบายการลงทุน : กองทุนจะลงทุนในหุ้นชั้นนำทั่วโลกที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี MSCI ACWI เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีดังกล่าว ผ่านกองทุนหลักชื่อ iShares MSCI ACWI ETF
- ระดับความเสี่ยง : เสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) – ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
กรุงศรีโกลบอลสมาร์ทอินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ (KF-SINCOMERMF)
- นโยบายการลงทุน : กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีประเภทต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก ผ่านกองทุนหลักชื่อ PIMCO GIS Income Fund
- ระดับความเสี่ยง : เสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) – ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 90% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือน การทำความเข้าใจในเงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจลาออกจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เราสามารถวางแผนได้อย่างรอบคอบว่าควรจะจัดการกับเงินก้อนนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อเกษียณอย่าง RMF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเพราะช่วยต่อยอดผลตอบแทน และไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากการนำเงินออกจาก PVD ก่อนกำหนดด้วย หากคุณกำลังวางแผนนำเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาลงทุนต่อยอด
สามารถขอรับปรึกษา
ที่ปรึกษาทางการเงินของกรุงศรีเพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะกับคุณได้เลย
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน | KFGBRANRMF และ KF-WORLD-INDXRMF ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
หมายเหตุ: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ. กรุงศรี เท่านั้น
อ้างอิง