รู้จัก Retention และ Refinance ก่อนตัดสินใจลดดอกเบี้ยบ้าน
รอบรู้เรื่องบ้าน

รู้จัก Retention และ Refinance ก่อนตัดสินใจลดดอกเบี้ยบ้าน

icon-access-time Posted On 06 กรกฎาคม 2565
By Krungsri The COACH
หลังจากที่ผ่อนบ้านมาสักระยะ โดยเฉพาะเมื่อครบ 3 ปีขึ้นไป หลายคนมักเริ่มรู้สึกได้ถึงภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นในใจว่า ควรเจรจาขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม หรือย้ายไปเริ่มต้นใหม่กับธนาคารอื่นดีกว่ากัน ?

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระการผ่อนในแต่ละเดือน แต่ยังอาจทำให้เราประหยัดเงินได้มากถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว ดังนั้น การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Retention (การต่อรองกับธนาคารเดิม) และ Refinance (การย้ายธนาคาร) จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการวางแผนการเงินระยะยาว

บทความนี้ Krungsri The COACH จะมาเป็นเพื่อนคู่คิด ช่วยอธิบายปัจจัยที่ควรพิจารณาของทั้งสองทางเลือก เพื่อให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจ และคุ้มค่าที่สุด
 

ทำความรู้จักกับ Retention และ Refinance

ก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างรีเทนชั่นกับรีไฟแนนซ์ มาทำความเข้าใจ ทั้ง 2 คำนี้กันให้ชัดเจน เพื่อให้เห็นภาพรวม และเลือกทางที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
 

Retention บ้านคืออะไร ?

Retention (รีเทนชั่น) คือ การเจรจาต่อรองเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านกับธนาคารเดิมที่คุณกำลังผ่อนชำระอยู่ เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก เนื่องจากธนาคารมีข้อมูล และประวัติการผ่อนชำระของคุณอยู่แล้ว ทำให้ขั้นตอนการอนุมัติไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย และมีประวัติการเงินที่ดี
 
รีไฟแนนซ์(refinance) หรือรีเทนชั่น(retention) บ้าน คืออะไร
 

Refinance บ้านคืออะไร ?

Refinance (รีไฟแนนซ์) คือ การขอสินเชื่อบ้านใหม่จากธนาคารแห่งอื่นเพื่อนำเงินมาปิดยอดหนี้สินเชื่อบ้านเดิม โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และเงื่อนไขที่ดีกว่าเดิม เป็นการเริ่มต้นสัญญากู้บ้านใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีความซับซ้อนในเรื่องเอกสาร และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็มีโอกาสได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าเดิมได้

เปรียบเทียบความแตกต่างของ Retention กับ Refinance

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Retention กับ Refinance ในแต่ด้าน
 
  Retention (รีเทนชั่น) Refinance (รีไฟแนนซ์)
สถาบันการเงิน ธนาคารเดิม ธนาคารใหม่
อัตราดอกเบี้ย อาจลดได้น้อยกว่าหรือเท่าเดิม มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ต่ำกว่าเดิม
ค่าใช้จ่าย ต่ำมาก หรือไม่มีเลย มีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าประเมิน, ค่าจดจำนอง
ขั้นตอน/เอกสาร ง่าย ใช้เอกสารน้อย ซับซ้อน เหมือนขอกู้ใหม่
ระยะเวลาอนุมัติ รวดเร็ว (ประมาณ 1-2 สัปดาห์) นานกว่า (ประมาณ 2-4 สัปดาห์)
วงเงินกู้เพิ่ม ไม่สามารถขอได้ สามารถขอวงเงินกู้เพิ่มได้

Retention กับ Refinance เลือกแบบไหนคุ้มกว่ากัน ?

ขอตอบว่า “ไม่มีคำตอบที่ตายตัว” เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความต้องการของแต่ละบุคคล ดังนั้นเพื่อให้ตัดสินใจได้ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ ลองมาทบทวนดูกันว่าคุณเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน
 

เลือกการทำ Retention บ้าน (คุ้มกว่า) ถ้า …

  • ไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าประเมิน ค่าจดจำนอง
  • อยากได้ความรวดเร็วในขั้นตอนการทำเอกสารที่ง่าย เพราะรีเทนชั่นใช้เอกสารน้อยกว่ารีไฟแนนซ์
  • มียอดหนี้บ้านคงเหลือไม่สูงมาก (เช่น ต่ำกว่า 1 ล้านบาท)
  • มีประวัติการผ่อนชำระดีกับธนาคารเดิม

ดังนั้น การรีเทนชั่นบ้านจะเหมาะกับคนที่อยากเซฟเวลา ลดความซับซ้อนและไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
 

เลือกการทำ Refinance บ้าน (คุ้มกว่า) ถ้า…

  • มียอดหนี้บ้านคงเหลือสูง และต้องการลดดอกเบี้ยให้ได้มากที่สุด
  • พบข้อเสนอจากธนาคารอื่นที่ดีกว่าข้อเสนอ Retention จากธนาคารเดิมอย่างชัดเจน
  • มีเวลาในการเตรียมเอกสาร และรับได้กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
  • อยากกู้เพิ่ม เพื่อมีเงินก้อนใหม่

ดังนั้น การรีไฟแนนซ์จะเหมาะกับคนที่อยากลดดอกเบี้ยให้ได้มากที่สุดในระยะยาวและมีเวลาจัดเตรียมเอกสารรวมถึงรับได้กับการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
 
เลือกรีไฟแนนซ์ หรือ รีเทนชั่นบ้านดี ถ้าอยากประหยัดดอกเบี้ยบ้าน
 

6 ขั้นตอนขอลดดอกเบี้ยบ้านแบบง่าย ๆ ใช้ได้ทั้งการรีไฟแนนซ์และรีเทนชั่น

การขอลดดอกเบี้ยให้ประสบความสำเร็จ และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด Krungsri The COACH ได้สรุป 6 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะทำให้การทำรีเทนชั่น เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
 

1. ตรวจสอบสัญญา ต้องผ่อนบ้านกี่ปีถึงจะขอ Retention หรือ Refinance ได้

โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารจะอนุญาตให้เรายื่นขอรีเทนชั่นหรือรีไฟแนนซ์ ได้หลังจากผ่อนชำระครบ 3 ปีตามสัญญา หรือเมื่อสิ้นสุดโปรโมชันดอกเบี้ยอัตราพิเศษในช่วงแรกแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสัญญา และเสียค่าปรับ แนะนำให้เริ่มติดต่อสอบถามกับธนาคารล่วงหน้าประมาณ 1-3 เดือนก่อนครบกำหนด
 

2. ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือ

เราต้องมาตรวจสอบข้อมูลยอดหนี้คงเหลือ โดยเราสามารถทำได้ผ่านการติดต่อกับธนาคารเดิมเพื่อสรุปยอดหนี้สินที่ต้องการผ่อนชำระ โดยข้อมูลยอดคงเหลือ และข้อมูลการผ่อนชำระของเราจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเราในการเลือกธนาคารใหม่ เพื่อทำการรีไฟแนนซ์บ้านผ่านการนำยอดหนี้ที่คงเหลือไปคำนวณกับข้อเสนอที่ธนาคารมอบให้
 

3. ติดต่อธนาคารเพื่อเจรจา

สำหรับการรีเทนชั่น เราต้องติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารที่ใช้บริการอยู่ เพื่อแจ้งความประสงค์ในการขอ Retention หรือขอลดอัตราดอกเบี้ย หากมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีสม่ำเสมอจะเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในการเจรจาต่อรอง

แต่การรีไฟแนนซ์เราสามารถเข้าไปขอสินเชื่อกับทางธนาคารได้โดยตรง และเมื่อธนาคารรับเรื่องแล้ว ก็จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประเมินราคาหลักประกันเพื่อประกอบการอนุมัติ โดยต่อมาเมื่อได้รับการอนุมัติแล้วทางธนาคารใหม่ที่เรายื่นรีไฟแนนซ์บ้านไว้จะติดต่อกับธนาคารเดิมเพื่อสอบถามหนี้คงเหลือ และนัดวันไถ่ถอนต่อไป
 

4. การเตรียมเอกสารรีเทนชั่นและรีไฟแนนซ์

การเตรียมเอกสารสำหรับรีเทนชั่นบ้านจะมีเอกสารที่น้อยกว่าตามตารางด้านล่างนี้ แต่การรีไฟแนนซ์เราต้องมีการเตรียมเอกสารหลายส่วนเพื่อใช้ในการทำสัญญา เพราะการรีไฟแนนซ์จะคล้าย ๆ กับการยื่นกู้เพื่อซื้อบ้านใหม่อีกรอบ โดยเอกสารที่ต้องเตรียมแสดงในตารางด้านล่างนี้
 
เอกสารสำหรับการรีเทนชั่น เอกสารสำหรับการรีไฟแนนซ์บ้าน
  1. สำเนาบัตรประชาชน
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. สัญญาเงินกู้ฉบับปัจจุบัน
  4. ใบเสร็จผ่อนชำระค่างวดล่าสุด (บางธนาคารอาจขอ)
  1. เอกสารข้อมูลส่วนบุคคล
    • สำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรข้าราชการ
    • สำเนาทะเบียนบ้าน
    • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของคู่สมรส (ถ้ามี)
    • สำเนาทะเบียนสมรส / หย่า / ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
    • สำเนาใบมรณบัตรและทะเบียนสมรสของคู่สมรส (กรณีคู่สมรสเสียชีวิต)
  2. เอกสารแสดงรายได้
    กรณีบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ประจำ
    • หนังสือรับรองการทำงาน หรือสำเนาสลิปเงินเดือน (ฉบับล่าสุด) (สำเนาสลิปเงินเดือนย้อนหลัง 12 เดือน กรณีมีรายได้เป็น commission)
    • หนังสือรับรองโบนัสประจำ (ถ้ามี)
    • สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ย้อนหลัง 12 เดือน กรณีมีรายได้เป็น commission)
    • แบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (50 ทวิ และ ภงด.90/91) พร้อมใบเสร็จการชำระภาษีย้อนหลัง 2 ปี
      กรณีบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว
    • สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน / ใบทะเบียนการค้า ไม่เกิน 3 เดือน
    • สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีชื่อผู้กู้ / ผู้กู้ร่วม ไม่เกิน 3 เดือน
    • สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ทั้งในนามบุคคลและกิจการ)
    • สำเนา ภ.พ.30 พร้อมใบเสร็จ (ถ้ามี)
    • สำเนา ภ.พ.20 (ถ้ามี)
    • สำเนาบริคณห์สนธิ ไม่เกิน 3 เดือน
  3. เอกสารด้านหลักประกัน
    • สำเนาเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์หลักประกัน เช่น โฉนดที่ดิน หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (ขนาดเท่าตัวจริงทุกหน้า)
    • ใบอนุญาตปลูกสร้าง / หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง เช่น สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดิน (ทด.13) หรือหนังสือสัญญาให้ที่ดิน (ทด.14)
    • สำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน (กรณีถ้ามีสัญญาเงินกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอื่นและอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ)
    • แผนที่ตั้งหลักประกันโดยสังเขป
    • สำเนาสัญญากู้เงินกับสถาบันการเงินเดิม
    • สำเนาใบเสร็จเงินกู้เดือนล่าสุด

5. ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการดำเนินการ

การทำ Retention มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก โดยส่วนใหญ่จะมีเพียงค่าธรรมเนียมในการดำเนินการประมาณ 0-1% ของวงเงินกู้คงเหลือ หรือบางธนาคารอาจไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเลยก็ได้ ส่วนระยะเวลาในการพิจารณา และอนุมัตินั้นรวดเร็วมาก โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น

ส่วนการรีไฟแนนซ์บ้าน เมื่อธนาคารใหม่อนุมัติสินเชื่อแล้ว สิ่งที่เราต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เช่น ค่าประเมิน ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิ์จากธนาคารเดิม ค่าประกันอัคคีภัย หรือประกัน MRTA เป็นต้น โดยรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดมักอยู่ประมาณ 2%-3% ของวงเงินกู้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร
 

6. ทำสัญญาและจดจำนองที่กรมที่ดิน

สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้าน ธนาคารจะมีเจ้าหน้าที่ถือสัญญาไปให้เซ็นที่กรมที่ดิน พร้อมกับการทำสัญญาจดจำนองในวันเดียวกัน หลังทำสัญญาและจดจำนองเรียบร้อยแล้ว ก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นการรีไฟแนนซ์บ้าน

ส่วนการรีเทนชั่นจะไม่จำเป็นต้องทำสัญญาและจดจำที่กรมที่ดิน เราสามารถนัดวันเข้าไปเซ็นเอกสารสัญญากับธนาคารเพื่อยืนยันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยใหม่ได้เลย หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยใหม่จะมีผลในรอบบิลถัดไป


สำหรับใครที่ต้องการวางแผนผ่อนบ้านในระยะยาว การเลือกรีไฟแนนซ์บ้านอาจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่า ดังนั้น Krungsri The COACH ขอแนะนำการ วางแผนลดภาระดอกเบี้ยบ้านกับกรุงศรี เพราะเราเข้าใจดีว่าการวางแผนจัดการหนี้บ้านเป็นเรื่องสำคัญ

ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกค้าปัจจุบันที่ต้องการขอลดดอกเบี้ย หรือเป็นลูกค้าใหม่ที่กำลังมองหาข้อเสนอที่ดีที่สุด สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม
  • ลดภาระดอกเบี้ย : ทำให้ค่างวดต่อเดือนลดลง หรือหากผ่อนเท่าเดิมก็จะช่วยให้ตัดเงินต้นได้มากขึ้น ทำให้เป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน : สามารถขอวงเงินกู้เพิ่มจากมูลค่าหลักประกัน เพื่อนำเงินก้อนไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้
  • มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษ : เช่น ฟรีค่าประเมินหลักประกัน และฟรีค่าจดจำนอง (ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด)

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว l อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 3.921% - 5.732% ต่อปี*****
ให้วงเงินสูงสุด 30 ล้านบาท ผ่อนสบายตั้งแต่ 5 ปี ถึง สูงสุด 30 ปี (อายุผู้กู้รวมกับระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 65 ปี)

*สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ลบ.ขึ้นไป
**ฟรี! ค่าประเมินหลักประกัน มูลค่า 3,210 บาท (วันที่ 1 ก.ย. 68 – 31 ธ.ค. 68)
***ฟรีค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด และเลือกดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองเท่านั้น
****เฉพาะปีที่ 1 เมื่อซื้อประกัน MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด
*****สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 18 ส.ค. 68 = 6.870% ต่อปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ รายละเอียดดอกเบี้ยและการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ใน Fact sheet
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา