การเลือกที่อยู่อาศัยคือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของชีวิต โดยเฉพาะการตัดสินใจระหว่าง ‘บ้าน’ กับ ‘คอนโด’ ที่ต่างตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และเป้าหมายการเงินในแบบที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ควรตัดสินใจจากความชอบเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองถึงอนาคตและคุณภาพชีวิตด้วย Krungsri The COACH ได้รวบรวมข้อมูลมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้นในทุกปัจจัย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
เปรียบเทียบข้อดี - ข้อเสีย ของบ้าน และคอนโด
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น ลองมาดูข้อดี และข้อเสียของที่อยู่อาศัยทั้งสองรูปแบบ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการพิจารณาว่า ไลฟ์สไตล์ของคุณเอนเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน
เจาะลึก 10 เช็กลิสต์ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน หรือคอนโด
เมื่อเห็นภาพรวมแล้ว เรามาเจาะลึกในรายละเอียดแต่ละข้อกันต่อ เพื่อให้คุณเปรียบเทียบได้อย่างรอบด้าน และค้นพบว่า ที่อยู่แบบไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณจริง ๆ
1. งบประมาณที่มี
ราคาบ้านมักสูงกว่าคอนโดในทำเลเดียวกัน อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายแฝงในการบำรุงรักษาที่สูงกว่า เช่น การซ่อมหลังคา ระบบไฟฟ้า-ปะปา การทาสี จัดสวน ในขณะที่คอนโดมีราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่าบ้าน เพราะกระจายต้นไปยังหลายยูนิต เหมาะสำหรับคนที่งบจำกัด แต่คอนโดก็ยังมีค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายเป็นประจำทุกปี ดังนั้นการประเมินงบประมาณจึงต้องมองทั้งราคาที่ซื้อ และค่าบำรุงรักษา
2. พื้นที่ใช้สอย
บ้านมีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง และยืดหยุ่นกว่ามาก ส่วนมากจะมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมครอบครัว สวนหย่อมส่วนตัว หรือแม้แต่ห้องต่าง ๆ ที่แยกเป็นสัดส่วน เหมาะสำหรับครอบครัวที่วางแผนจะมีสมาชิกเพิ่ม หรือผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเยอะ ๆ
ส่วนคอนโดจะเน้นการออกแบบพื้นที่ให้กะทัดรัด และใช้งานได้สูงสุดในพื้นที่จำกัด เหมาะสำหรับคนโสด คู่รัก หรือครอบครัวขนาดเล็กที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่นอกบ้าน และไม่ต้องการพื้นที่ดูแลมากนัก
3. ทำเล
ทำเลเป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนไลฟ์สไตล์อย่างชัดเจน คอนโดมักตั้งอยู่ในทำเลทองใจกลางเมือง หรือติดแนวรถไฟฟ้า ทำให้เดินทางสะดวก เข้าถึงสถานที่ทำงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกได้ง่าย ในทางกลับกัน บ้านส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในย่านชานเมืองหรือรอบนอก ซึ่งให้ความสงบ และเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่อาจต้องแลกมากับเวลาในการเดินทางที่เพิ่มขึ้น การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญกับความสะดวกในการเดินทางหรือความสงบในการอยู่อาศัยมากกว่ากัน
4. ความเป็นส่วนตัว และเพื่อนบ้าน
บ้านมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุด ด้วยรั้วรอบขอบชิด และระยะห่างจากเพื่อนบ้าน ทำให้คุณมีอิสระในการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนมากนัก ในขณะที่การอยู่คอนโดหมายถึงการใช้ชีวิตในพื้นที่ใกล้ชิดกับเพื่อนบ้าน มีผนังห้องติดกัน และใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องเสียง หรือข้อขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ง่ายกว่า แต่ก็มีข้อดีในแง่ของการสร้างสังคม และมีเพื่อนบ้านคอยสอดส่องดูแลกัน
5. สิ่งอำนวยความสะดวก
คอนโดมักโดดเด่นเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนลอยฟ้า หรือ Co-working space ที่พร้อมใช้งานโดยไม่ต้องดูแลเอง ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนบ้านนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เช่น สวนหย่อม หรือลานบาร์บีคิวที่คุณต้องสร้าง และดูแลเองทั้งหมด แม้โครงการหมู่บ้านบางแห่งจะมีคลับเฮาส์ แต่ก็อาจไม่ครบครันเท่าคอนโดมิเนียม
6. ค่าส่วนกลาง
ค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาในระยะยาว โดยทั่วไปคอนโดจะมีอัตราค่าส่วนกลางต่อตารางเมตรสูงกว่าบ้าน เนื่องจากครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลายกว่า เช่น ลิฟต์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้น ส่วนค่าส่วนกลางของบ้านจะต่ำกว่า โดยเน้นไปที่การดูแลถนนในโครงการ สวนสาธารณะ และระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณทางเข้า-ออกเป็นหลัก
7. การบำรุงรักษา
ภาระในการบำรุงรักษาเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด เจ้าของบ้านต้องรับผิดชอบการซ่อมแซมทุกอย่างด้วยตัวเอง 100% ตั้งแต่หลังคารั่ว ท่อประปาแตก ไปจนถึงการดูแลสวน และทาสีบ้าน ซึ่งเป็นทั้งค่าใช้จ่าย และเวลา ในขณะที่เจ้าของคอนโดจะรับผิดชอบดูแลรักษาเฉพาะภายในห้องของตนเองเท่านั้น ปัญหาโครงสร้างอาคาร หรือพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดจะเป็นหน้าที่ของนิติบุคคลในการจัดการดูแล
8. กฎระเบียบในการอยู่อาศัย
การอยู่คอนโดต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุดอย่างเคร่งครัด ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการใช้เสียง การทิ้งขยะ การตากผ้า ไปจนถึงการเลี้ยงสัตว์ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในการอยู่ร่วมกัน ส่วนการอยู่บ้านจะให้อิสระมากกว่า คุณสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ของตัวเองได้เต็มที่ ตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือสร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนบ้านจนเกินไป
9. ข้อจำกัด
ข้อจำกัดของบ้านส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องทำเลที่ตั้ง และการเดินทางที่อาจไม่สะดวกเท่าคอนโด รวมถึงภาระการดูแลที่สูงกว่า ในขณะที่ข้อจำกัดของคอนโดจะเน้นไปที่เรื่องพื้นที่ที่ไม่สามารถขยับขยายได้ การปรับปรุงต่อเติมที่ทำได้ยาก และข้อบังคับต่าง ๆ ที่อาจไม่ยืดหยุ่น เช่น การจำกัดการเลี้ยงสัตว์ หรือการห้ามส่งเสียงดังในเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว
10. ระบบการประกันภัย
การทำประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยทั้งสองประเภทมีความแตกต่างกัน เจ้าของบ้านจำเป็นต้องทำประกันที่ครอบคลุมทั้งตัวอาคาร และทรัพย์สินภายในทั้งหมดด้วยตนเอง ส่วนคอนโดมิเนียม นิติบุคคลจะมีประกันภัยสำหรับโครงสร้างอาคาร และพื้นที่ส่วนกลางอยู่แล้ว เจ้าของห้องจึงมีหน้าที่ทำประกันเพิ่มเติมเฉพาะทรัพย์สินภายในห้องของตนเอง ซึ่งทำให้เบี้ยประกันโดยรวมอาจต่ำกว่าการทำประกันบ้าน
เทคนิคเลือกบ้านหรือคอนโดให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง
หลังจากเปรียบเทียบข้อมูลทุกมิติแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำข้อมูลเหล่านั้นมาเทียบกับไลฟ์สไตล์ของคุณเอง Krungsri The COACH มี 5 เทคนิคเลือกบ้านหรือคอนโดที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
- ทบทวนแผนชีวิตในอนาคต (5-10 ปี) : ลองมองไปข้างหน้า หากคุณวางแผนแต่งงาน หรือมีลูกในอนาคตอันใกล้ บ้านที่มีพื้นที่รองรับการขยายครอบครัวอาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณยังรักอิสระ และเน้นความคล่องตัว คอนโดก็ยังคงตอบโจทย์ได้ดี
- วิเคราะห์ไลฟ์สไตล์การเดินทางประจำวัน : คุณเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือระบบขนส่งสาธารณะเป็นหลัก หากคุณต้องเดินทางเข้าเมืองทุกวัน คอนโดติดรถไฟฟ้าอาจช่วยประหยัดเวลา และพลังงานได้มหาศาล แต่ถ้าคุณทำงานจากที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ บ้านชานเมืองที่สงบก็อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
- ประเมินความสามารถในการดูแลรักษา : คุณเป็นคนชอบทำสวน ซ่อมแซมของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือไม่ หากคุณไม่ต้องการมีภาระในการดูแล และอยากใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมอื่น คอนโดที่แทบไม่ต้องบำรุงรักษาเองคือคำตอบที่ใช่
- ลิสต์สิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องมี : ลองจัดลำดับความสำคัญระหว่างพื้นที่สวนส่วนตัวกับฟิตเนส และสระว่ายน้ำ หากคุณเป็นคนรักสุขภาพ และชอบใช้ส่วนกลาง การจ่ายค่าส่วนกลางคอนโดอาจคุ้มค่ากว่าการไปสมัครสมาชิกฟิตเนสข้างนอก
- พิจารณาวัตถุประสงค์ในการซื้อ : คุณซื้อเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว หรือเพื่อลงทุน คอนโดในเมืองมักปล่อยเช่าได้ง่าย และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ในขณะที่บ้านอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาวจากราคาที่ดิน การตัดสินใจในประเด็นเช่าบ้าน หรือซื้อบ้านดีก็เป็นอีกมุมที่ต้องพิจารณาหากมองในแง่การลงทุนด้วย
Krungsri The COACH แนะนำ : สานฝันบ้านหลังแรกด้วยสินเชื่อบ้านกรุงศรี
เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าที่อยู่อาศัยแบบไหนคือคำตอบที่ใช่ ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนทางการเงินเพื่อทำให้ฝันเป็นจริง “
สินเชื่อบ้านกรุงศรี” พร้อมเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการสานฝันของคุณให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่ บ้านมือสอง หรือคอนโด ด้วยบริการที่เข้าใจง่าย และข้อเสนอที่ออกแบบมาเพื่อทุกคน
- อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นปีแรกเพียง 1.99%
- เงื่อนไข และวงเงินกู้ที่ยืดหยุ่น ให้วงเงินกู้สูงสุดถึง 110% ของราคาประเมินสำหรับบ้านใหม่จากโครงการที่ร่วมรายการ
- ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 30 ปี ทำให้คุณเป็นเจ้าของบ้านในฝันได้ง่ายขึ้น
- ฟรี! ค่าประเมินหลักประกัน และค่าจดจำนอง
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว l อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 3.938% - 5.732% ต่อปี*
*สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 18 ส.ค. 68 = 6.870% ต่อปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
รายละเอียดดอกเบี้ยและการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ใน Fact sheet คลิก
**ฟรี! ค่าประเมินหลักประกัน มูลค่า 3,210 บาท (วันที่ 1 ก.ย. 68 – 31 ธ.ค. 68)
***ฟรีค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด และเลือกดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองเท่านั้น
****เฉพาะปีที่ 1 เมื่อซื้อประกัน MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด หรือใช้บัญชีเงินเดือนผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา
การเลือกที่อยู่อาศัยเป็นการลงทุนเพื่อความสุขในระยะยาว ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดว่า บ้าน หรือคอนโดดีกว่ากัน มีเพียงคำตอบที่ “ใช่” ที่สุดสำหรับแต่ละบุคคลเท่านั้น การตัดสินใจที่รอบคอบโดยพิจารณาจากไลฟ์สไตล์ งบประมาณ และแผนในอนาคตอย่างถี่ถ้วน จะช่วยให้คุณค้นพบบ้าน หรือคอนโดที่เป็นของคุณอย่างแท้จริง
อ้างอิง