เช่าบ้านหรือซื้อบ้านดี เลือกแบบไหนคุ้มสุดในยุคดอกเบี้ยพุ่ง
รอบรู้เรื่องบ้าน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

เช่าบ้านหรือซื้อบ้านดี เลือกแบบไหนคุ้มสุดในยุคดอกเบี้ยพุ่ง

icon-access-time Posted On 17 ตุลาคม 2566
By Krungsri The COACH
ด้วยสภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ที่ค่อนข้างจะท้าทาย ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้สังคมไทยในตอนนี้อาจเริ่มเข้าสู่ยุค Generation Rent ที่เน้นการเช่ามากกว่าการซื้อ คนที่ทำงานมาสักระยะ ก็เริ่มมีความลังเลระหว่างจะเช่าบ้านต่อไปเรื่อย ๆ หรือตัดสินใจซื้อบ้านเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ของตนเองจะดีกว่า เพราะเราถูกสั่งสอนมาจากรุ่นสู่รุ่นว่าควรมีบ้านของตัวเอง

แล้วในยุคที่ดอกเบี้ยทะลุเพดานแบบนี้ เรายังควรเช่าบ้าน หรือซื้อบ้านดี? แบบไหนคุ้มกว่ากัน? ในบทความนี้ Krungsri The COACH ได้นำข้อมูลดี ๆ มาฝากทุกคนแล้ว สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อบ้าน หรือเช่าบ้านของตนเองได้เลย

ผลกระทบการซื้อบ้านและเช่าบ้านในยุคดอกเบี้ยสูง

จากรายงาน DDproperty Thailand Market Report ไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่า
  • มีสัดส่วนผู้บริโภคชาวไทยที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2568 อยู่ที่ 44% (ลดลงจากเดิมที่ 53%)
  • มีสัดส่วนของผู้เลือกเช่าที่อยู่อาศัย 14%
  • มีสัดส่วนผู้ที่ยังไม่มีการวางแผนซื้อ หรือเช่าที่อยู่อาศัยใด ๆ อยู่ที่ 34%
  • มีสัดส่วนผู้ที่ตัดสินใจรับมรดกที่อยู่อาศัยต่อจากพ่อและแม่ และผ่อนชำระต่อไปแทน อยู่ที่ 8%

จากสถิตินี้จะเห็นได้ว่า ผลกระทบจากการที่ดอกเบี้ยบ้านสูงขึ้นล้วนส่งผลให้จำนวนผู้ที่ตัดสินใจซื้อบ้านลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งคาดว่าได้รับผลกระทบระยะยาวมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 สภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

แล้วจากสถิตินี้ เราควรเลือกเช่าบ้าน หรือซื้อบ้านดี Krungsri The COACH มี 3 เช็กลิสต์สำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ตามไปดูกันเลย

3 เช็กลิสต์ช่วยให้คุณตัดสินใจ ควรเช่าบ้าน หรือซื้อบ้านดี?

หญิงสาวตัดสินเลือกเช่าบ้านหรือซื้อบ้าน

สำหรับบางคนคงตัดสินใจอยู่ว่าเอาไงดี ซื้อบ้านหรือเช่าบ้านดี ซื้อก็ได้สินทรัพย์ แต่ดอกเบี้ยเป็นช่วงขาขึ้นนะ ส่วนเช่าบ้านก็เหมือนจ่ายทิ้ง ถ้าเอาไปผ่อนบ้านจะคุ้มกว่า เพราะฉะนั้นโจทย์แรกที่เราควรจะตั้งคำถามกับตัวเองก่อนที่เราจะซื้อบ้านสักหนึ่งหลัง คือ ความจำเป็น และความพร้อม สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องคำถึงเป็นอันดับแรก ๆ

ถ้าเราเริ่มมีความรู้สึกอยากได้บ้านสักหลัง ให้ถามตนเองก่อนว่า “วันนี้เรามีความจำเป็นไหม” ถ้าเราจำเป็น เราก็มามองต่อว่า “วันนี้เราพร้อมไหม” ซึ่งคำว่าพร้อมในที่นี้คือความพร้อมในด้านการเงิน และอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนควรมีคือการเตรียม เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ก่อนการซื้อบ้าน เพราะการผ่อนบ้านเป็นเรื่องของการเดินทางระยะยาวโดยเฉลี่ย 30 ปี

ดังนั้นเราควรคิดหลายอย่างให้รอบคอบก่อนวางแผนซื้อบ้าน จะได้ไม่สร้างภาระ ความเครียด ความกดดันในอนาคตหากเกิดเหตุการณ์ไม่เป็นใจในชีวิต ป้องกันความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด เพราะการขอสินเชื่อบ้าน เป็นหนี้ระยะยาวนั่นเอง
 

สิ่งแรกที่ควรคำนึง : จำเป็นต้องซื้อบ้านหรือยัง

หากในปัจจุบันเราอยู่กับครอบครัวอยู่แล้ว อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ ยังไม่ได้แต่งงาน อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว และยังไม่มีความคิดที่จะขยายครอบครัว เราอาจจะยังไม่จำเป็นที่จะซื้อบ้าน ซึ่งในช่วงนี้เราอาจจะนำเงินที่ได้จากการทำงานไปลงทุนก่อนเพื่อให้เงินมันงอกเงย

ในทางกลับกัน หากเราเป็นคนที่เติบโตในต่างจังหวัด และเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ก็ถือว่าเริ่มมีความจำเป็นแล้วที่ต้องมองหาคอนโด หรือบ้านสักหลัง ส่วนจะซื้อบ้าน หรือเช่าบ้านดี ก็ให้พิจารณาในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป เช่น ในตอนแรกเราอาจเริ่มจากการเช่าไปก่อน แต่ทำงานไปสักพักแล้ว เราเริ่มมีความรู้สึกว่าอยากลงหลักปักฐานเพราะระยะเวลาที่ต้องทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ยาวนานเป็น 10 ปี ก็อาจจะเลือกซื้อบ้าน หรือคอนโด เป็นต้น
 
ครอบครัวตัดสินซื้อบ้านหลังวางแผนการเงิน
 

สิ่งที่สองที่ต้องคำนึง : มีความพร้อมทางการเงินมากแค่ไหน

นอกจากความจำเป็นแล้ว ความพร้อมทางการเงินก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาไม่แพ้กัน เพราะเมื่อเรามีความพร้อม แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ตาม เราสามารถจัดการได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการผ่อนบ้าน

ตัวอย่างการเช็กความพร้อมทางการเงินในการกู้ซื้อบ้าน

เริ่มต้นเลยว่า สมมุติถ้าเราจะซื้อคอนโดสักหลังหนึ่ง ราคา 3,000,000 บาท ถ้าเรากู้สินเชื่อโดยใช้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 6% ต่อปี ระยะเวลาในการกู้ 30 ปี เราจะต้องผ่อนธนาคารเดือนละ 20,000 บาท คำนวณเงินกู้บ้านได้เลย

หากเราต้องการซื้อบ้าน เราก็ต้องกลับมาดูว่าเรามีความพร้อมหรือไม่ เช่น เรามีรายรับ 50,000 บาท ค่าผ่อนบ้านไม่ควรเกิน 40% ของรายรับ คือ 20,000 บาท กรณีข้างต้นที่เราต้องผ่อนเดือนละ 20,000 บาท แสดงว่าเรามีความสามารถในการผ่อนชำระ เราสามารถเลือกซื้อบ้านได้

แต่หากใครที่รายรับน้อยกว่านี้อาจเช่าบ้านไปก่อน เพราะว่าโดยปกติแล้ว เราไม่ควรมีหนี้ทุกประเภทรวมกันเกิน 40% เพราะถ้าเกินกว่านี้อาจจะทำให้เราขาดสภาพคล่องได้ ไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิต เราควรจะเผื่อเหลือเผื่อขาดจะดีกว่า
 

สิ่งที่สามที่ต้องคำนึง : ความสามารถในการโปะบ้าน

ในยุคที่ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ความสามารถในการโปะบ้าน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง เพราะดอกเบี้ยบ้านเป็นดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก หากเรามีการโปะบ้านอย่างสม่ำเสมอ เช่น โปะเพิ่มเดือนละ 2,000-3,000 บาท จากค่างวดปกติ หรือโปะเงินก้อนทุก ๆ ปี ก็จะทำเงินต้นลดลงอย่างรวดเร็ว ในระยะยาวก็จะช่วยให้เราเสียดอกเบี้ยบ้านได้น้อยลง และรับมือกับสถานการณ์ที่ดอกเบี้ยบ้านพุ่งสูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่ไม่มีความสามารถในการโปะบ้าน การเลือกเช่าบ้านไปก่อนอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะถ้าคุณผ่อนชำระบ้านตามค่างวดปกติ ไม่มีการจ่ายโปะบ้านเพื่อลดต้นลดดอก ก็จะทำให้เสียดอกเบี้ยเต็มจำนวน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ก็อาจทำให้ได้บ้านในราคาที่สูงเป็นเท่าตัวนั่นเอง

เมื่อเรามีความพร้อมในเรื่องความสามารถในการผ่อนชำระแล้ว สิ่งที่เราต้องคำนึงต่อไป คือ

“เงินสำรองฉุกเฉิน” การเตรียมตัวสำคัญก่อนตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน

เราควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน ของค่างวดที่ต้องผ่อนชำระ ซึ่งเป็นเงินที่กันออกไป เป็นเงินเย็นที่เราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับก้อนนี้เลย อย่างในกรณีข้างบน เราควรมีเงินสำรองยามฉุกเฉิน 120,000 บาท (20,000 X 6 เดือน) เป็นการลดความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะว่าในยุคสมัยนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เศรษฐกิจต่าง ๆ ค่อนข้างผันผวน

ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเงินสำรองตรงนี้ไว้ จะช่วยให้เราไม่เครียดเกินไปในระหว่างทางที่เราไม่มีรายได้เข้ามาเลย อย่างน้อยมีเงินก้อนตรงนี้ที่เราสำรองไว้ในการผ่อนธนาคารทุกเดือน ซึ่งช่วยเรามีเวลาในการเตรียมตัวรับมืออีก 6 เดือน ให้ไม่เครียดมาก กดดันจนเกินไป ซึ่งใครที่อยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อมนี้ ก็อาจจะเช่าบ้านไปก่อนเพื่อเก็บสะสมเงินก้อนนี้ และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็สามารถตัดสินใจซื้อบ้าน ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินแบบหมดห่วงได้เลย

แต่หากบางคนอยากมีสินทรัพย์เป็นของตัวเองแล้วเนื่องจากขยายครอบครัว หรือแต่งงาน ในกรณีนี้ขอให้เตรียมเงินสำรองยามฉุกเฉินขั้นต่ำ 3 เดือน และระหว่างทางที่กู้ซื้อบ้าน ผ่อนชำระธนาคารในแต่ละเดือน ก็ให้กันเงินสำรองยามฉุกเฉินควบคู่กันไป

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการซื้อและเช่าบ้าน

เพื่อให้คุณเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น Krungsri The COACH จะพาไปเปรียบข้อดี-ข้อเสียของการซื้อบ้าน และเช่าบ้านกัน รับรองว่า จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแน่นอน
 
ปัจจัยสำคัญ ซื้อบ้าน หรือคอนโด เช่าบ้าน หรือคอนโด
ความยืดหยุ่นในการย้ายที่อยู่อาศัย ต่ำ สูง
ภาระทางการเงินในระยะยาว สูงกว่า ต่ำกว่า
ความเป็นเจ้าของในทรัพย์สิน มี ไม่มี
ค่าใช้จ่ายแฝง (เช่น ค่าส่วนกลาง หรือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) มี ไม่มี (เจ้าของบ้าน หรือคอนโดเป็นคนจ่ายแทน)
ผลตอบแทนในระยะยาว อาจมี (ในกรณีที่ราคาบ้านปรับขึ้น) ไม่มี
สิทธิลดหย่อนภาษี นำดอกเบี้ยบ้านมาใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ไม่มี
การตกแต่งที่อยู่อาศัย ทำได้ ไม่มีข้อจำกัด ต้องขออนุญาตจากเจ้าของบ้าน หรือคอนโดก่อน
คู่รักวางแผนการเงินหลังจากซื้อบ้านของตัวเอง

Krungsri The COACH แนะนำ : สินเชื่อบ้านบ้านกรุงศรี เพื่อที่อยู่อาศัย ตัวช่วยดี ๆ สำหรับคนอยากมีบ้านหลังแรก

การเลือกซื้อบ้าน หรือเลือกเช่าบ้านต่างมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะพิจารณาที่มุมมองไหน ถ้าหากดูแล้วเราเป็นคนที่ต้องเปลี่ยนถิ่นฐานที่อยู่อาศัยบ่อย ยังอาจไม่มีความจำเป็นที่จะซื้อบ้าน และหากเราพบว่าการซื้อบ้านมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกิน ยังไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะซื้อได้ การเลือกเช่าบ้านอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเรา

แต่ถ้าหากลองคำนวณดูเรามีเงินก้อนที่เพียงพอ สามารถผ่อนงวดบ้านต่อเดือนได้สบาย ๆ อยากมีสินทรัพย์ที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง การซื้อบ้านนี่แหละคือตอบโจทย์ Krungsri The COACH ขอแนะนำ สินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อที่อยู่อาศัย ตัวช่วยที่จะทำให้คุณได้บ้านหลังแรกในฝัน
  • ดอกเบี้ยคงที่ 1 ปีแรก 1.99%
  • ฟรีค่าธรรมเนียมสำรวจ และประเมินหลักประกัน
  • ฟรีค่าจดจำนอง
  • รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว l อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 4.123% - 5.696% ต่อปี*

*สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 7 มี.ค. 68 = 7.175% ต่อปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ รายละเอียดดอกเบี้ยและการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ใน Fact sheet www.krungsri.com
**ฟรี! ค่าประเมินหลักประกัน มูลค่า 3,210 บาท (วันที่ 1 ม.ค. 68 - 30 เม.ย. 68)
***ฟรีค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด และเลือกดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองเท่านั้น
****เฉพาะปีที่ 1 เมื่อซื้อประกัน MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด หรือใช้บัญชีเงินเดือนผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา

การตัดสินใจระหว่างการเช่า หรือซื้อบ้านในยุคดอกเบี้ยสูงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความจำเป็นในการมีบ้าน ความพร้อมทางการเงิน และความสามารถในการโปะบ้าน ซึ่งการซื้อบ้านจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงในระยะยาว มีเงินเก็บเพียงพอ และต้องการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ในขณะที่การเช่าจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง อาจต้องย้ายที่อยู่บ่อย หรือยังไม่มีความพร้อมทางการเงินเพียงพอ ที่สำคัญไม่ว่าจะเลือกทางไหน การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็น โดยควรมีอย่างน้อย 6 เดือนของภาระค่าใช้จ่ายที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ชีวิตและเป้าหมายทางการเงินที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียวว่าการเช่า หรือซื้อดีกว่ากัน แต่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงิน และเป้าหมายชีวิตของตนเองก็จะดีที่สุด
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา