ส่องสูตรคำนวณสุด easy กู้เงินซื้อบ้าน
รอบรู้เรื่องบ้าน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

อยากมีบ้านต้องรู้ ส่องสูตรคำนวณกู้เงินซื้อบ้านสุด EASY

icon-access-time Posted On 09 กันยายน 2568
By Krungsri The COACH
“บ้าน” เป็นหนึ่งในความฝัน หรือเป้าหมายการเงินของใครหลายคน แต่การจะมีบ้านสักหนึ่งหลังที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ใช้เวลากับครอบครัว หรือสร้างความทรงจำอันล้ำค่าร่วมกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องใช้เงินก้อนค่อนข้างใหญ่ จึงต้องวางแผนเก็บเงินซื้อบ้านเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ดังนั้นการ “กู้เงินซื้อบ้านจากธนาคาร” จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้เราสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ทันที

แต่หนึ่งคำถามที่มักจะมีอยู่ในใจก็คือ “ถ้าเป็นพนักงานออฟฟิศที่มีเงินเดือนเท่านี้ จะกู้เงินซื้อบ้านได้เท่าไร?” Krungsri The COACH จะพาทุกคนมาดูสูตรคำนวณเงินกู้บ้านสุด EASY กัน พร้อมวิธีวางแผนผ่อนบ้านเดือนละเท่าไรให้เหมาะสมกับรายได้ อ่านจบแล้วจะช่วยให้ชาวออฟฟิศนมีแนวทางที่ชัดเจนในการกู้เงินซื้อบ้านอย่างแน่นอน
วางแผนกู้เงินซื้อบ้านสำหรับชาวมนุษย์เงินเดือน
 

ส่องสูตรคํานวณเงินกู้บ้านสุด EASY เงินเดือนเท่านี้ กู้ซื้อบ้านได้เท่าไร ?

เมื่อคิดจะกู้เงินซื้อบ้าน การคำนวณวงเงินกู้บ้านเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยวางแผนได้ดีขึ้น โดยสูตรคำนวณวงเงินกู้บ้านสูงสุด คือ “(รายได้ของผู้กู้ x 40%) x 150 = วงเงินกู้สูงสุด” ซึ่งวงเงินกู้ที่ได้จากการคำนวณนี้ สามารถนำไปประมาณการกำหนดงบเบื้องต้นได้

อย่างไรก็ตาม “40%” เป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้นเท่านั้น อาจมีการปรับลดมาได้ หากคุณมีภาระหนี้สินอื่น ๆ อยู่ เช่น สินเชื่อไฟแนนซ์รถยนต์ เนื่องจากธนาคารจะกำหนดอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ หรือ Debt Service Ratio (DSR) ให้ไม่เกิน 40% - 50% ของรายได้สุทธิในแต่ละเดือนนั่นเอง
 
เงินเดือนเท่านี้ ผ่อนบ้านเดือนละเท่าไหร่
 

ตัวอย่างการคำนวณวงเงินกู้บ้านสูงสุดแบบง่าย ๆ

เพื่อให้คุณเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เรามีตัวอย่างการคำนวณวงเงินกู้บ้านมาให้ดูกัน ตัวอย่างที่ 1 พนักงานออฟฟิศ มีเงินเดือน 30,000 บาท
วงเงินที่ขอกู้ซื้อบ้านได้ประมาณ : (30,000 x 40%) x 150 = 1,800,000 บาท

ตัวอย่างที่ 2 พนักงานออฟฟิศ มีเงินเดือน 50,000 บาท
วงเงินที่ขอกู้ซื้อบ้านได้ประมาณ : (50,000 x 40%) x 150 = 3,000,000 บาท
 

ถ้ามีหนี้สินอื่น ๆ อยู่ สามารถกู้เงินซื้อบ้านได้สูงสุดเท่าไร ?

สำหรับใครที่มีหนี้สินอื่น ๆ อยู่ สามารถคำนวณวงเงินกู้บ้านสูงสุดได้ง่าย ๆ โดยการคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระของแต่ละเดือนก่อนด้วยสูตร “(รายได้ต่อเดือน) x 40%” หลังจากนั้นให้นำไปหักลบกับภาระหนี้ที่มีอยู่ แล้วนำตัวเลขที่เหลือไปคูณ 150 เพื่อหาวงเงินกู้บ้านสูงสุด

ตัวอย่างที่ 1 พนักงานออฟฟิศ มีเงินเดือน 30,000 บาท และมีภาระผ่อนรถยนต์อยู่ 7,000 บาทต่อเดือน
วงเงินที่ขอกู้ซื้อบ้านได้ประมาณ ((30,000 x 40%) - 7,000) x 150 = 750,000 บาท

ตัวอย่างที่ 2 พนักงานออฟฟิศ มีเงินเดือน 50,000 บาท และมีภาระผ่อนรถยนต์อยู่ 7,000 บาทต่อเดือน
วงเงินที่ขอกู้ซื้อบ้านได้ประมาณ ((50,000 x 40%) - 7,000) x 150 = 1,950,000 บาท
 

แนะนำวิธีคำนวณความสามารถในการกู้ง่าย ๆ ด้วยเครื่องมือจากธนาคารกรุงศรี

นอกจากการคำนวณวงเงินกู้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ และมีความสำคัญมาก คือการประเมินจำนวนเงินค่างวดที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือนเป็นเท่าไร Krungsri The COACH ขอแนะนำเครื่องคำนวณความสามารถในการกู้ ของธนาคารกรุงศรี ที่จะช่วยคำนวณทั้งวงเงินกู้ และค่างวดที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนด้วย มีขั้นตอนดังนี้
  1. ระบุรายได้ต่อเดือน (รวมรายได้ผู้กู้ร่วม (ถ้ามี))
  2. ระบุภาระหนี้ต่อเดือน (ถ้ามี)
  3. ระบุระยะเวลาที่ขอกู้ (ปี)
  4. กดคำนวณ
วิธีคำนวณความสามารถในการกู้เงินซื้อบ้าน

ระบุข้อมูลให้ครบทุกช่องเพื่อคำนวณวงเงินกู้ซื้อบ้านสูงสุด
  1. รายได้ต่อเดือน 30,000 บาท
  2. ภาระหนี้ต่อเดือน 0 บาท
  3. ระยะเวลาที่ขอกู้ 30 ปี
จากนั้น ระบบจะคำนวณวงเงินสูงสุดที่สามารถขอได้คือ 3,269,900 บาท และยอดผ่อนชำระต่อเดือน 19,500 บาท ในระยะเวลาที่กู้ 30 ปี
 
การคำนวณความสามารถในการกู้เงินซื้อบ้าน


นอกจากเครื่องคำนวณความสามารถในการกู้แล้ว ธนาคารกรุงศรี ยังมีอีก 2 เครื่องมือในการช่วยคำนวณ ได้แก่
  1. คำนวณยอดผ่อนชำระต่อเดือน
  2. คำนวณความคุ้มค่าก่อนรีไฟแนนซ์ (คำนวณแบบละเอียด)
 

ตารางเปรียบเทียบรายได้กับวงเงินกู้ซื้อบ้านสูงสุด และยอดผ่อนชำระต่อเดือน

Krungsri The COACH ได้คำนวณวงเงินกู้บ้านสูงสุด พร้อมวงเงินผ่อนค่าบ้านรายเดือนของแต่ละฐานเงินเดือนมาให้แล้ว ใครที่มีคำถาม “เงินเดือนเท่านี้ กู้บ้านได้เท่าไร” เช็กวงเงินกู้บ้านเบื้องต้น (ในกรณีที่ไม่มีหนี้สิน) ได้ที่ตารางด้านล่างนี้เลย
 

 
เงินเดือน (บาท) วงเงินกู้บ้านสูงสุด (บาท) วงเงินผ่อนชำระรายเดือน (บาท) ระยะเวลากู้ (ปี)
15,000 1,638,900 10,700 30
20,000 2,174,100 14,100 30
25,000 2,726,000 17,700 30
30,000 3,261,200 21,100 30
40,000 4,348,200 28,200 30
50,000 5,435,300 35,200 30
100,000 10,870,600 70,400 30
150,000 16,305,900 105,500 30
หมายเหตุ
  1. ผลการคำนวณข้างต้นเป็นการคำนวณผ่าน เครื่องคำนวณความสามารถในการกู้ของธนาคารกรุงศรีฯ (ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2568) และเป็นเพียงการคำนวณเบื้องต้นเท่านั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ภายใต้หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของธนาคาร
  2. โปรดตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ ประเภทหลักประกัน และเงื่อนไขอื่น ๆ จากเจ้าหน้าที่ธนาคาร
  3. การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
  4. หากมีหนี้สินอื่น ๆ ควรพิจารณาชำระหนี้ให้ลดลง เพื่อเพิ่มความสามารถในการกู้
  5. ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วม อาจช่วยเพิ่มวงเงินกู้บ้านสูงสุดได้

จะรู้ได้อย่างไรว่า แต่ละเดือนเราต้องเสียดอกเบี้ยผ่อนบ้านกี่บาท ?

อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่คนกู้บ้านต้องรู้ คือวิธีการคิดดอกเบี้ยของสินเชื่อบ้าน ซึ่งโดยทั่วไปจะคิดดอกเบี้ยแบบ "ลดต้นลดดอก" (Effective Rate) หมายความว่าดอกเบี้ยในแต่ละเดือนจะถูกคำนวณจากยอดเงินต้นคงเหลือ ยิ่งเราผ่อนไปนานเท่าไร เงินต้นก็จะยิ่งลดลง ส่งผลให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดถัด ๆ ไปลดลงตามไปด้วย ส่วนเงินค่างวดที่จ่ายเกินจากดอกเบี้ย ก็จะถูกนำไปตัดเงินต้น ทำให้หนี้หมดไวขึ้นนั่นเอง

สูตรการคำนวณดอกเบี้ยลดต้นลดดอกรายเดือน
(เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี) / 365 วัน x จำนวนวันในเดือนนั้น ๆ

ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก
สมมติว่ากู้เงินซื้อบ้านมา 3,000,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี และในเดือนนั้นมี 31 วัน
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในเดือนนั้นจะเท่ากับ : (3,000,000 x 5%) / 365 x 31 = 12,739.73 บาท
หากค่างวดที่เราต้องผ่อนชำระในเดือนนั้นคือ 20,000 บาท เงินจำนวนนี้จะถูกแบ่งไปจ่ายดอกเบี้ย 12,739.73 บาท และส่วนที่เหลืออีก 7,260.27 บาท จะถูกนำไปหักลบออกจากเงินต้นนั่นเอง
 

3 สิ่งที่มีผลต่อการกำหนดงบประมาณในการกู้เงินซื้อบ้าน

นอกจากการคำนวณความสามารถในการกู้ของตัวเองแล้ว การทำความเข้าใจปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อราคาบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้เราสามารถตั้งงบประมาณในการกู้เงินซื้อบ้านได้อย่างสมเหตุสมผล
 

1. ทำเลที่ตั้ง

ทำเลที่ตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อบ้าน เพราะต้องอาศัยอยู่บ้าน และสภาพแวดล้อมรอบเป็นอีกหลายปี หากเป็นบ้านที่อยู่ใจกลางเมือง ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก ราคาก็จะสูงกว่าบ้านที่อยู่ชานเมือง
 

2. ขนาดของที่อยู่อาศัย

ขนาดบ้านที่ต้องการจะซื้อส่งผลโดยตรงต่อราคา และจำนวนเงินที่ต้องกู้ บ้านที่มีขนาดใหญ่ก็จะมีราคาที่สูงมากขึ้น ดังนั้นต้องพิจารณาถึงขนาดบ้านและพื้นที่ใช้สอย และจำนวนผู้อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้นด้วย
 

3. สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่

บ้านที่อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ย่อมจะมีราคาที่สูงกว่า เช่น ใกล้แหล่งศูนย์การค้า สถานศึกษา สวนสาธารณะ รวมถึงการเดินทางสะดวกเพราะใกล้ทางด่วนหรือแนวรถไฟฟ้า
 
ทำเล คอนโด ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว
เมืองชั้นใน
(เช่น สาทร, สีลม, เพลินจิต, ราชประสงค์)
10.6 ล้านบาท 5.9-6.1 ล้านบาท 10-60 ล้านบาท
เมืองชั้นกลาง
(เช่น พหลโยธิน, ลาดพร้าว, รามคำแหง)
7-9 ล้านบาท 6 ล้านบาท 4-15 ล้านบาท
วงแหวนฝั่งตะวันออก
(เช่น ถ.รามอินทรา, มีนบุรี, ลำลูกกา)
4-7 ล้านบาท 3-5 ล้านบาท 5-12 ล้านบาท
วงแหวนฝั่งตะวันตก
(เช่น บางบอน, หนองแขม, คันนายาว)
4-7 ล้านบาท 2-4 ล้านบาท 10-40 ล้านบาท
ตารางราคาบ้านเฉลี่ยในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2566-2567
(ที่มา Checkraka, Propertyhub และ ddproperty)
 

5 ทริกวางแผนเก็บเงินกู้ซื้อบ้านในฝันให้สำเร็จ ผ่อนบ้านไหวในระยะยาว

เมื่อทราบราคาบ้านเบื้องต้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนเก็บเงินซื้อบ้าน และกู้เงินซื้อบ้านให้เหมาะสมกับรายได้ โดยขอแนะนำ 5 ไอเดียในการวางแผนเก็บเงินกู้ซื้อบ้านในฝัน ได้แก่
 

1. เลือกบ้านที่ใช่ ในราคาที่เอื้อมถึง

โดยหลักการที่ปลอดภัยคือราคาบ้านนั้นไม่ควรเกิน 60 เท่าของรายได้ต่อเดือน เช่น นายกรุงศรี มีเงินเดือน 50,000 บาท ไม่ควรกู้เงินซื้อบ้านราคามากกว่า 3,000,000 บาท เพื่อลดภาระในการผ่อนชำระต่อเดือนที่มากเกินไป
 

2. เก็บเงินออมอย่างน้อย 20% ของราคาบ้านสำหรับค่าดาวน์บ้าน

หลังจากรู้งบราคาบ้านที่ต้องการซื้อเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้เก็บเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของราคาบ้าน เช่น ต้องการซื้อบ้านราคา 3,000,000 บาท ต้องเก็บเงินดาวน์อย่างน้อย 600,000 บาท (3,000,000 x 20%)
 

3. วางแผนเก็บเงินดาวน์บ้านอย่างเป็นระบบ

ลองเก็บเงินเป็นประจำทุกเดือนตามยอดผ่อนบ้านที่เราตั้งไว้ ตัวอย่าง นายกรุงศรี มีเงินเดือน 50,000 บาท วางแผนซื้อบ้านอีก 3 ปีข้างหน้า โดยจะกู้เงินซื้อบ้านราคา 3,000,000 บาท และผ่อนชำระงวดละ 20,000 บาทต่อเดือน จากนั้นเริ่มวางแผนเก็บเงินซื้อบ้าน ดังนี้
  • ปีที่ 1 ออมเดือนละ 20,000 บาท ดังนั้น ปีที่ 1 เก็บเงินได้ 240,000 บาท (12 x 20,000)
  • ปีที่ 2 ออมเดือนละ 20,000 บาท ดังนั้น ปีที่ 2 เก็บเงินได้ 240,000 บาท (12 x 20,000)
  • ปีที่ 3 ออมเดือนละ 20,000 บาท ดังนั้น ปีที่ 3 เก็บเงินได้ 240,000 บาท (12 x 20,000)
รวมออมเงินครบ 3 ปี จะเก็บเงินได้เท่ากับ 3x240,000 = 720,000 บาท คิดเป็น 24% ของราคาบ้าน
 
การวางแผนเก็บเงินดาวน์กู้เงินซื้อบ้าน
 

4. เช็กภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือน

เพราะการกู้เงินซื้อบ้านนั้น เป็นการสร้างภาระหนี้ขึ้นมาใหม่ ดังนั้นหากภาระการผ่อนหนี้ต่อเดือนในปัจจุบันยังสูงอยู่ อาจจะมีปัญหาในการผ่อนบ้านไม่ไหวในอนาคตได้ ซึ่งแนะนำว่าการผ่อนบ้านไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ทั้งหมดต่อเดือน และเมื่อรวมการผ่อนชำระหนี้อื่น ๆ อีก ต้องมียอดผ่อนทั้งหมดไม่ควรเกิน 50% ของรายได้ทั้งหมดต่อเดือน

ตัวอย่าง นายกรุงศรีมีเงินเดือน 50,000 บาท
  • ควรผ่อนบ้านได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน (50,000 x 40%)
  • และเมื่อผ่อนชำระหนี้รวมทั้งหมดไม่ควรเกิน 25,0000 บาทต่อเดือน (50,000 x 50%)

หากนายกรุงศรีมีการผ่อนชำระหนี้ปัจจุบันอยู่ 10,000 บาทต่อเดือน และอีก 3 ปี หลังจากนายกรุงศรีซื้อบ้าน ยอดการผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดจะเท่ากับ 30,000 บาท ตามรายละเอียดข้างล่างนี้
  • ค่าผ่อนหนี้ปัจจุบัน 10,000 บาทต่อเดือน
  • ค่าผ่อนบ้าน 20,000 บาทต่อเดือน
ซึ่งเป็นภาระการผ่อนชำระที่สูงถึง 60% ของรายได้ (60% x 50,000 = 30,000)

ดังนั้นเพื่อให้นายกรุงศรีสามารถกู้เงินซื้อบ้านได้อย่างสบายใจ และมั่นใจว่าสามารถผ่อนบ้านในระยะหลายสิบปีไหวอย่างแน่นอน ภายใน 3 ปีนี้ นายกรุงศรีจะต้องวางแผนจัดการหนี้ปัจจุบันให้เหลือยอดผ่อนชำระไม่เกิน 5,000 บาทต่อเดือนจากยอดผ่อนชำระ 10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหากจัดการภาระหนี้ได้ จะทำให้ค่าผ่อนทั้งหมดอยู่ที่ 25,0000 บาทต่อเดือน ได้แก่
  • ค่าผ่อนหนี้ปัจจุบัน 5,000 บาทต่อเดือน
  • ค่าผ่อนบ้าน 20,000 บาทต่อเดือน
หรือภาระการผ่อนชำระ 50% ของรายได้ทั้งหมดนั่นเอง
 

5. เช็กประวัติเครดิตบูโร และรักษาประวัติการชำระหนี้ให้ดี

เพื่อเพิ่มโอกาสในการยื่นขอสินเชื่อเพื่อกู้เงินซื้อบ้าน เพราะหากเรามีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ย่อมมีโอกาสที่ธนาคารจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อเงินกู้ได้ง่ายขึ้น
 
ประวัติเครดิตบูโรเพิ่มโอกาสขอสินเชื่อกู้เงินซื้อบ้าน

ตัวช่วยสำหรับคนที่ต้องการทุนในการกู้เงินซื้อบ้าน ขอสินเชื่อที่ไหนดี ?

Krungsri The COACH แนะนำ สินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ ด้วยจุดเด่นของสินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่คุณสามารถกู้ผ่านทางออนไลน์ได้ หรือที่ธนาคารกรุงศรีทุกสาขา สะดวก อนุมัติและรู้ผลกู้ไว ดอกเบี้ยพิเศษในช่วงปีแรก พร้อมสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย

สำหรับสินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยผู้กู้ต้องศึกษารายละเอียดการกู้อย่างรอบคอบ โดยกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
 
  • อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 3.830% - 5.732% ต่อปี*
*สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 18 ส.ค. 68 = 6.870% ต่อปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้

หมายเหตุ: อัตราดอกเบี้ยนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่โพสต์บทความ สามารถตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน และรายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมได้ที่สินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

กู้เงินซื้อบ้านเลือกซื้อบ้านยังไงไม่แพงจนเกินงบเรา

การวางแผนกู้เงินซื้อบ้านนั้น เป็นการกู้เงินที่เป็นภาระหนี้สินระยะยาว ผู้กู้จะต้องรับผิดชอบการผ่อนชำระหลายสิบปี ดังนั้นผู้กู้ควรพิจารณาว่าจะผ่อนบ้านเดือนละเท่าไร่และเงินเดือนกู้บ้านได้ในระดับใด เพื่อไม่ให้เครียดจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้เสียในอนาคต ซึ่งจะส่งผลถึงการเสียประวัติเครดิตบูโรอีกด้วย วิธีที่จะช่วยลดภาระการผ่อนบ้านให้เบาลงได้ก็คือ การเก็บเงินดาวน์บ้านเพิ่มบางส่วน เพื่อที่จะได้กู้ซื้อบ้านเท่าที่จำเป็น ราคาบ้านไม่สูงจนเกินความสามารถของเรา ซึ่งสัดส่วนการผ่อนบ้านไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ทั้งหมดต่อเดือน เพื่อไม่ให้ภาระทางการเงินในแต่ละเดือนหนักจนเกินไป และ Krungsri The COACH มั่นใจว่าหากเรามีการวางแผนกู้เงินซื้อบ้านมาเป็นอย่างดีแล้ว เราจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตในบ้านที่แสนอบอุ่นหลังนี้อย่างแน่นอน

อ้างอิง
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา