สำหรับคนที่กำลังวางแผนกู้ซื้อบ้าน นอกจากวงเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยที่ต้องเปรียบเทียบจากแต่ละธนาคารแล้ว “ระยะเวลาในการผ่อนบ้าน” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบให้มากที่สุด เพราะจะส่งผลต่อสภาพคล่อง และจำนวนเงินที่ต้องจ่ายทั้งหมดในระยะยาว บทความนี้ Krungsri The COACH จะพาไปเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ๆ เพื่อให้คุณเลือกแนวทางการผ่อนบ้านกับธนาคารที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด
3 หัวใจสำคัญของการผ่อนบ้านกับธนาคารที่ทุกคนต้องรู้
ก่อนจะเลือกแผนการผ่อนที่ใช่ เรามาทำความรู้จัก 3 องค์ประกอบหลักที่เป็นตัวกำหนดภาระค่างวดของคุณกันก่อน เพื่อให้เข้าใจภาพรวม และตัดสินใจได้ดีขึ้น
วงเงินกู้ (Loan Amount)
คือจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณขอกู้ยืมจากธนาคารเพื่อซื้อบ้าน ซึ่งจะเป็นตัวเลขตั้งต้นในการคำนวณค่างวด และดอกเบี้ยทั้งหมด โดยปกติแล้วธนาคารจะพิจารณาอนุมัติวงเงินจากราคาประเมินของบ้าน และคุณสมบัติทางการเงินของผู้กู้เป็นหลัก
อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
อัตราดอกเบี้ยคือ “ราคาที่ต้องจ่าย” สำหรับการได้ใช้เงินก้อนก่อนล่วงหน้า จึงถือเป็นต้นทุนโดยตรงของการกู้ยืม ยิ่งดอกเบี้ยสูง = ต้นทุนการกู้ยืมสูง อัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย อาจสร้างความแตกต่างของเงินที่ต้องจ่ายคืนทั้งหมดตลอดอายุสัญญาเป็นหลักแสน หรือหลักล้านบาทก็เป็นได้ การผ่อนบ้านจึงจำเป็นต้องเปรียบเทียบข้อเสนอดอกเบี้ยจากหลาย ๆ ธนาคารให้ดี
ระยะเวลาผ่อนชำระ (Loan Duration)
คือกรอบเวลาที่คุณ และธนาคารตกลงกันว่าจะใช้ในการชำระหนี้คืนทั้งหมด ซึ่งโดยทั่วไปจะมีให้เลือกตั้งแต่ 3 ปี ไปจนถึงสูงสุด 30 ปี ระยะเวลาส่วนนี้จะส่งผลโดยตรงต่อยอดผ่อนชำระในแต่ละเดือน และจำนวนดอกเบี้ยรวมที่ต้องจ่าย
ผ่อนบ้านระยะสั้น VS ผ่อนบ้านระยะยาว ต่างกันแค่ไหน ?
เมื่อเข้าใจ 3 หัวใจสำคัญแล้ว จะเห็นได้ว่า
“ระยะเวลาผ่อนชำระ” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับแผนการเงินของเราได้มากที่สุด เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราลองมาดูตัวอย่างการคำนวณเงินผ่อนบ้านด้วยสถานการณ์เดียวกัน แต่เลือกระยะเวลาต่างกัน
ตัวอย่างการผ่อนบ้านระยะสั้น (15 ปี)
นาย ก. กู้บ้านวงเงิน 3,000,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.00% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา และเลือกผ่อนบ้าน 15 ปี และมีค่างวดผ่อนชำระ 25,000 บาท จะมีตัวอย่างตารางผ่อนชำระ พร้อมยอดตัดดอกเบี้ยรวม ดังนี้
ตัวอย่างการผ่อนบ้านระยะยาว (30 ปี)
นาย ข. กู้บ้านวงเงิน 3,000,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.00% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา และเลือกผ่อนบ้าน 30 ปี และค่างวดผ่อนชำระ 17,600 บาท กำหนดให้แต่ละเดือนมี 30 วัน และแต่ละปีมีจำนวนวัน 365 วัน โดยจะมีตารางผ่อนชำระ พร้อมยอดตัดดอกเบี้ยรวม ดังนี้
จากตัวอย่างการผ่อนบ้านกับธนาคาร ทั้งระยะสั้น และระยะยาว จะเห็นได้ว่า
การผ่อนบ้านระยะสั้นเสียดอกเบี้ยโดยรวมน้อยกว่าอย่างชัดเจน โดย นาย ก. จะเสียดอกเบี้ยรวมทั้งหมด 1,167,552.30 บาท ในขณะที่นาย ข. เสียดอกเบี้ยรวมทั้งหมด 2,242,988.94 บาท ซึ่งเสียดอกเบี้ยน้อยกว่า 1,075,436.64 บาท
หมายเหตุ : ผลการคำนวณข้างต้นเป็นเพียงการคำนวณเบื้องต้นเท่านั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ภายใต้หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของธนาคาร
ผ่อนบ้านแบบไหนที่ “ใช่” สำหรับเรา ?
ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดตายตัวว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่มีคำตอบที่ว่า
“แบบไหนเหมาะกับเราที่สุด” การผ่อนระยะสั้นนั้น จะเหมาะกับกลุ่มคนที่มีรายได้สูง และมีเสถียรภาพ ผู้ที่มีเงินออมสำรองจำนวนมาก ผู้ที่ไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้เป็นเวลานาน และยอมจ่ายค่างวดที่สูงขึ้นเพื่อแลกกับอิสรภาพทางการเงินที่รวดเร็วกว่า ในขณะที่การผ่อนระยะยาว จะเหมาะกับกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่รายได้ในแต่ละเดือนไม่แน่นอน ผู้ที่ต้องการรักษาสภาพคล่องทางการเงินไว้สำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน การลงทุน หรือเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในปัจจุบันนั่นเอง
เคลียร์ทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกระยะเวลาผ่อนบ้าน
เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการเลือกระยะเวลาผ่อนบ้านมาตอบให้ที่นี่
ผ่อนบ้านระยะสั้น มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ?
มีข้อดีตรงที่เสียดอกเบี้ยรวมน้อยกว่าอย่างชัดเจน ช่วยปลดหนี้ได้เร็ว และสร้างวินัยทางการเงินได้ดี แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของค่างวดต่อเดือนที่สูง อาจกระทบสภาพคล่องทางการเงินมากกว่า และมีความเสี่ยงหากรายได้ลดลง
ผ่อนบ้านระยะยาว มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ?
มีข้อดีตรงที่ค่างวดต่อเดือนต่ำ ทำให้มีสภาพคล่องเหลือใช้จ่าย หรือลงทุน และลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ แต่ก็มีข้อเสียในเรื่องการเสียดอกเบี้ยรวมสูงมาก และเป็นหนี้ในระยะเวลายาวนาน
ถ้าเลือกผ่อนยาว 30 ปี ไปแล้ว สามารถเปลี่ยนเป็นผ่อนสั้นลงได้ไหม ?
ได้แน่นอน วิธีที่ดีที่สุดคือการ
โปะหนี้บ้าน หรือการจ่ายค่างวดเกินกว่ายอดที่ธนาคารกำหนดในแต่ละเดือน เงินส่วนที่เกินมาจะถูกนำไปตัดเงินต้นโดยตรง ทำให้ยอดหนี้ลดลงและหมดเร็วกว่ากำหนดเวลาเดิม
การโปะบ้านต้องแจ้งธนาคารล่วงหน้าหรือไม่ ?
โดยทั่วไปแล้ว การจ่ายค่างวดเพิ่มเล็กน้อยในแต่ละเดือนไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า แต่หากต้องการจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อปิดบัญชี ควรติดต่อธนาคารเพื่อคำนวณยอดที่แน่นอน โดยการ
โปะบ้านทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอถือเป็น
วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็วที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ถ้าเลือกผ่อนระยะสั้น 15 ปี ไปแล้ว จ่ายค่างวดไม่ไหว ทำอย่างไร ?
ให้รีบติดต่อธนาคารเจ้าของสินเชื่อทันทีเพื่อปรึกษาหาทางออก ซึ่งอาจเป็นการขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือการขอขยายระยะเวลาผ่อนให้นานขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ค่างวดต่อเดือนลดลงได้
Krungsri The COACH แนะนำ : สินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งผ่อนระยะยาว และผ่อนระยะสั้น
ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจเลือกผ่อนบ้านแบบไหน “สินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย” พร้อมเป็นคู่คิด และสนับสนุนให้คุณเป็นเจ้าของบ้านในฝันได้ง่ายขึ้น ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และวงเงินกู้สูงสุดถึง 110% พร้อม เปิดโอกาสให้คุณผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 30 ปี ทำให้ค่างวดผ่อนบ้านต่อเดือนไม่เป็นภาระหนักเกินไป ช่วยให้คุณได้บ้านในฝันอย่างสบายใจ
- ดอกเบี้ยคงที่ 1 ปีแรก 1.99% ต่อปี*
- ฟรี! ค่าประเมินหลักประกัน มูลค่า 3,210 บาท (วันที่ 16 พ.ค. 68 – 31 ส.ค. 68)
- ฟรีค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด และเลือกดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองเท่านั้น
- ส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะปีที่ 1 เมื่อซื้อประกัน MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด หรือใช้บัญชีเงินเดือนผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว l อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 4.043% - 5.851% ต่อปี สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 16 พ.ค. 68 = 7.120% ต่อปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ รายละเอียดดอกเบี้ยและการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ใน
สินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
สุดท้ายแล้ว การเลือกระหว่างผ่อนบ้านระยะสั้นกับระยะยาวไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ความสามารถในการชำระหนี้ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล การทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบ และการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ คือหัวใจสำคัญที่จะนำคุณไปสู่การเป็นเจ้าของบ้านในฝันได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน
อ้างอิง