คู่รักต้องอ่าน! ก่อนกู้ร่วมซื้อบ้าน ต้องรู้อะไรบ้าง

Posted On 25 กรกฎาคม 2565
By Krungsri The COACH
การกู้ร่วมซื้อบ้านหรือกู้บ้านร่วม เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อบ้าน แต่รายได้ไม่เพียงพอในการขอกู้ด้วยตัวเอง การมีคู่หูในการกู้ร่วมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากรายได้รวมกันของผู้กู้และผู้ร่วมกู้จะเป็นการเสริมความสามารถในการผ่อนชำระ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่ากู้ร่วมซื้อบ้านอะไร? หรือใครที่ยังคงสงสัยก่อนเราจะตัดสินใจกู้บ้านร่วมเราต้องรู้อะไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ
การกู้ร่วมซื้อบ้านคืออะไร?
กู้ร่วมซื้อบ้านคือ การที่มีคนร่วม
กู้ร่วมสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน หรือสินเชื่อกู้เงิน โดยจำเป็นจะต้องร่วมกันตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 3 คน ภายใต้สัญญาข้อตกลงการกู้ในฉบับเดียวกัน โดยเฉพาะอาชีพอิสระอย่างฟรีแลนซ์จะนิยมการกู้ร่วม เพราะการกู้ร่วมจะช่วยให้การอนุมัติง่ายและวงเงินเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากกู้ร่วมซื้อบ้านแล้ว ยังขอสินเชื่อแบบไหนได้อีก ?
การกู้ร่วมไม่ได้จำกัดอยู่แค่การขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านใหม่เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับการขอสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ เพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือสินเชื่อบ้านแลกเงิน ที่นำบ้านปลอดภาระมาเป็นหลักประกันเพื่อขอวงเงินไปใช้จ่ายอเนกประสงค์ นอกจากนี้ ในบางกรณียังสามารถใช้กับการขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ หรือสินเชื่อไฟแนนซ์รถยนต์ได้เช่นกัน
กู้ร่วมซื้อบ้านกับใครได้บ้าง ?
ในอดีตการกู้ร่วมอาจจำกัดอยู่แค่คนในครอบครัว แต่ปัจจุบันธนาคารมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้คำถามยอดฮิตอย่างการกู้ร่วมกับใครได้บ้างนั้น มีคำตอบที่หลากหลายกว่าเดิม นั้น มีคำตอบที่หลากหลายกว่าเดิม โดยผู้ที่สามารถขอกู้ร่วมได้มีดังนี้โดยผู้ที่สามารถขอกู้ร่วมได้มีดังนี้
- คนในครอบครัว : เป็นกลุ่มที่ธนาคารให้การยอมรับมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น พ่อ-แม่ พี่-น้อง หรือลูก โดยจะต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด หากมีการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล จะต้องมีเอกสารยืนยันความสัมพันธ์ เช่น สูติบัตร หรือทะเบียนบ้าน
- คู่สมรส : ทั้งที่จดทะเบียน และไม่จดทะเบียนสมรสก็สามารถกู้ร่วมได้ โดยคู่ที่จดทะเบียนจะต้องใช้ทะเบียนสมรสเป็นหลักฐาน ส่วนคู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียน อาจต้องแสดงหลักฐานอื่น ๆ ที่พิสูจน์ความสัมพันธ์ เช่น ภาพถ่ายงานแต่งงาน หรือเอกสารรับรองบุตร
- คู่รัก LGBTQ+ : ปัจจุบันหลายธนาคารเปิดกว้าง และยอมรับให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถกู้ร่วมเพื่อสร้างอนาคตด้วยกันได้ โดยอาจต้องแสดงเอกสารที่ยืนยันการใช้ชีวิตร่วมกัน เช่น ทะเบียนบ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกัน หรือเอกสารการทำธุรกรรมทางการเงินร่วมกัน
กู้ร่วมซื้อบ้านต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ?
การเตรียมเอกสารให้พร้อม และครบถ้วนเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ขั้นตอนการขอสินเชื่อรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยทั่วไปจะแบ่งเอกสารเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้
- เอกสารส่วนตัว
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้ และผู้กู้ร่วมทุกคน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาทะเบียนสมรส หรือใบหย่า (ถ้ามี)
- สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- เอกสารทางการเงิน
- หนังสือรับรองเงินเดือน หรือสลิปเงินเดือนย้อนหลัง
- รายการเดินบัญชีธนาคาร (Statement) ย้อนหลัง 6 เดือน
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- เอกสารหลักประกัน
- สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย
- สำเนาโฉนดที่ดิน หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด
ถ้ากู้ร่วมซื้อบ้าน โฉนดจะเป็นชื่อใคร ?
โดยทั่วไปแล้ว การกู้ร่วมซื้อบ้านสามารถใส่ชื่อในโฉนดได้ทั้งแบบคนเดียว และแบบร่วมกัน แต่เพื่อความยุติธรรม และป้องกันปัญหาในระยะยาว ขอแนะนำให้ใส่ชื่อผู้กู้ร่วมทุกคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นเท่าเทียมกัน แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญคือ หากต้องการขาย โอน หรือทำธุรกรรมใด ๆ กับบ้านหลังนี้ในอนาคต จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ทุกคน
มารู้จักข้อดี และข้อควรระวังก่อนตัดสินใจกู้ร่วมซื้อบ้าน
การกู้ร่วมเปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งข้อดี และข้อควรระวัง การทำความเข้าใจทั้งสองด้านจะช่วยให้คุณ และคู่หูตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ และมั่นใจที่สุด
3 ข้อดีของการกู้ร่วมซื้อบ้าน
การมีคู่หูมาช่วยกู้ร่วมนั้นมีข้อดีหลัก ๆ ที่ช่วยให้การมีบ้านในฝันเป็นจริงได้ง่ายขึ้นอยู่ 3 ประการด้วยกัน
1. ขออนุมัติสินเชื่อกู้บ้านได้ง่ายมากขึ้น
เมื่อยื่นกู้ร่วม ธนาคารจะพิจารณารายได้ของผู้กู้ทุกคนรวมกัน ทำให้โปรไฟล์ทางการเงินมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น ธนาคารจะมองว่ามีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ที่มั่นคง จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อให้ผ่านได้ง่ายกว่าการยื่นกู้คนเดียว
2. ได้วงเงินกู้บ้านที่สูงขึ้น
การใช้ฐานรายได้ของทุกคนมารวมกันเพื่อคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระ ไม่เพียงแต่ช่วยให้อนุมัติง่ายขึ้น แต่ยังทำให้
วงเงินที่ได้จากการกู้ร่วมสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่าคุณจะมีตัวเลือกในการซื้อบ้านที่มีราคาสูงขึ้น หรืออยู่ในทำเลที่ต้องการได้
3. ไม่ต้องแบกภาระหนี้คนเดียว
การมีคนช่วยผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือน ทำให้ภาระทางการเงินต่อคนลดลง ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการใช้จ่ายส่วนตัวมากขึ้น และยังเป็นการกระจายความเสี่ยง หากในอนาคตผู้กู้คนใดคนหนึ่งเกิดปัญหาสภาพคล่อง ก็ยังคงมีอีกคนช่วยรับผิดชอบต่อไปได้
ข้อควรระวังที่ต้องรู้ก่อนกู้ร่วมซื้อบ้าน
แม้ข้อดีจะน่าสนใจ แต่การกู้ร่วมก็มาพร้อมภาระผูกพันระยะยาวที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
1. ความสัมพันธ์ที่อาจเปลี่ยนแปลง :
ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ เช่น การเลิกราของคู่รัก ซึ่งถึงแม้ความสัมพันธ์ส่วนตัวจะจบลง แต่ภาระหนี้สินตามกฎหมายยังคงอยู่ หากตกลงกันไม่ได้อาจนำไปสู่ปัญหาที่ซับซ้อนได้
2. สิทธิ์ลดหย่อนภาษีถูกหารเฉลี่ย :
สิทธิ์ลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านสูงสุด 100,000 บาท เป็นสิทธิ์ต่อทรัพย์สิน 1 แห่ง ไม่ใช่ต่อคน ดังนั้น หากกู้ร่วม 2 คน สิทธิ์จะถูกหารเฉลี่ยเหลือคนละ 50,000 บาท ไม่สามารถแบ่งตามใจชอบได้
3. อาจกระทบต่อการขอสินเชื่อในอนาคต :
หนี้บ้านที่กู้ร่วมจะปรากฏในข้อมูลเครดิตบูโรของผู้กู้ทุกคนเต็มจำนวน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการขอสินเชื่ออื่น ๆ ในอนาคต เช่น สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อส่วนบุคคล
4. การทำธุรกรรมต้องได้รับความยินยอม :
หากต้องการขาย รีไฟแนนซ์ หรือโอนกรรมสิทธิ์ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้กู้ร่วมทุกคนที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หากมีความขัดแย้งกันอาจทำให้ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้
3 วิธีแก้ปัญหา เมื่อถึงเวลาเลิกราในการกู้ร่วมซื้อบ้าน
แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่การเตรียมรู้
ทางออกกู้บ้านร่วมกับแฟน แต่เลิกกันไว้ล่วงหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างราบรื่น
1. ถอนชื่อสัญญาผู้กู้ร่วม
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา การแก้ไขแรกที่สามารถทำได้คือการ
ถอนชื่อของผู้กู้ร่วมซื้อบ้านออกจากสัญญา โดยต้องติดต่อธนาคารและทำการตกลงกับคู่กู้ร่วมของเราให้ชัดเจนว่าใครจะเป็นคนถือสินเชื่อต่อไป พร้อมทั้งนี้เราจะต้องแจ้งความประสงค์ขอถอนชื่อกู้บ้านร่วมออกด้วยกัน หลังจากนั้นธนาคารจะประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ที่รับช่วงต่อว่าสามารถผ่อนชำระได้หรือไม่นั่นเอง และในส่วนของกรณีสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรส จำเป็นจะต้องนำใบหย่ามาแสดงต่อธนาคารเพื่อประกอบการเปลี่ยนสินเชื่อด้วย
2. รีไฟแนนซ์จากกู้ร่วมซื้อบ้านเป็นกู้เดี่ยว
หากว่าเราทำขั้นตอนที่ 1 ไม่สำเร็จ ธนาคารไม่ยอมอนุมัติให้เราถอนชื่อกู้ร่วมซื้อบ้าน หรือประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของเราไม่ผ่าน วิธีแก้ไขที่สองคือการรีไฟแนนซ์สินเชื่อ โดยอาจติดต่อธนาคารอื่นเพื่อพิจารณาการกู้ใหม่ในนามของผู้กู้คนเดียว และขั้นตอนการประเมินการรีไฟแนนซ์ โดยส่วนใหญ่แล้วจะถูกพิจารณาจาก
- รายได้ของผู้กู้
- ยอดดาวน์เราที่กู้ซื้อบ้าน
- ประวัติเครดิตบูโร หรือแบล็กลิสต์
3. ทางออกสุดท้ายขายบ้าน
หากวิธีการทั้งสองไม่สำเร็จ การขายบ้านเป็นทางออกสุดท้ายที่อาจจะต้องพิจารณา ผู้กู้บ้านร่วมควรพูดคุยตกลงให้ดี เพื่อจัดการการขายบ้านในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น ค่าโอน ค่าตรวจบ้าน และค่าธรรมเนียม ในส่วนนี้เราอาจจะต้องตกลงกันให้ดีเพื่อหาตรงกลางที่ไม่ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ การขายบ้านจะช่วยปลดภาระหนี้สินและปิดปัญหาการกู้ร่วมซื้อบ้าน ลงได้
ถึงแม้ว่าปัญหาเหล่านี้ไม่มีใครอยากให้เกิด เพราะเราไม่สามารถรู้อนาคตข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่การที่เรารู้วิธีแก้ไขไว้ก็จะช่วยเราไปได้อีกเยอะ และนี่ก็เป็นเรื่องราวกู้ร่วมที่เราควรรู้ เพื่อไม่ให้พลาดทุกการตัดสินใจ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้หลังจากนี้เพราะถึงแม้ว่าการกู้ร่วมจะเปรียบเสมือนมีคู่หูที่เป็นเจ้าของบ้านหลังเดียวกัน การกู้ร่วมซื้อบ้านไม่ได้แปลว่าเป็นเรื่องที่ดีเสมอไป เราต้องเรียนรู้ที่จะรักษาความสัมพันธ์และพูดคุยปรับความเข้าใจกันบ่อย ๆ และบ้านหลังนี้ก็จะอยู่เป็นคู่เจ้าของเดิมตลอดไปนั่นเอง..