ใคร ๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจ การสร้างความก้าวหน้าทางการศึกษา หรือการเพิ่มสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน “เงินกู้” จึงกลายเป็นตัวช่วยทางการเงินที่หลายคนเลือกใช้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเหล่านั้น ถึงกระนั้น การกู้เงินมาใช้อย่างชาญฉลาดก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากขาดการวางแผนที่ดี จากเครื่องมือสร้างโอกาสก็อาจกลายเป็นภาระหนี้สินที่จัดการได้ยาก บทความนี้ Krungsri The COACH จะชวนคุณมาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “
หนี้ดี” กับ “หนี้จน” พร้อมแชร์กลยุทธ์บริหารหนี้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณจัดการภาระการเงินได้อย่างเบาใจ และมีประสิทธิภาพ
“หนี้ดี” กับ “หนี้จน” แตกต่างกันอย่างไร?
เพื่อให้เข้าใจภาพรวม และสามารถประเมินสถานการณ์หนี้สินของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เรามาทำความรู้จักกับความแตกต่างระหว่างหนี้ทั้งสองประเภทนี้กันก่อน
ลักษณะของหนี้ดี (Good Debt)
“หนี้ดี” คือ การก่อหนี้ที่นำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือผลตอบแทนในอนาคต เปรียบเสมือนการลงทุนที่แม้จะมีต้นทุนดอกเบี้ย แต่สิ่งที่ได้กลับมามีค่ามากกว่าที่จ่ายไป เช่น สินเชื่อบ้านหลังแรกที่ช่วยให้คุณมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และมูลค่าทรัพย์สินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว หรือสินเชื่อเพื่อการศึกษาที่เป็นการลงทุนในตัวเอง เพิ่มทักษะ และโอกาสในการทำงานที่มีรายได้สูงขึ้น รวมถึงสินเชื่อเพื่อลงทุนในธุรกิจที่มีแผนธุรกิจชัดเจน มีโอกาสสร้างกำไร และขยายกิจการ หนี้ดีจึงเป็นเหมือนใบเบิกทางที่ช่วยเร่งให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น
ลักษณะของหนี้จน (Bad Debt)
“หนี้จน” เป็นภาระหนี้ที่เกิดจากการบริโภค หรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว หรือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าลดลงตามเวลา หนี้ประเภทนี้มักมีอัตราดอกเบี้ยสูง ยกตัวอย่างเช่น
- หนี้บัตรเครดิตจากการช้อปปิ้งสินค้าฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
- กู้สินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อซื้อแพ็คเกจเที่ยวหรู หรือซื้อของราคาแพงเกินตัว
- การผ่อนรถยนต์หรูเกินกำลังที่มีค่าเสื่อมราคาสูง
หนี้จนไม่เพียงทำให้เราต้องมาแบกรับภาระดอกเบี้ยสูงโดยไม่จำเป็น แต่ยังบั่นทอนโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งจากการออม และการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย
จะรู้ได้อย่างไรว่า เราเริ่มมีพฤติกรรมก่อหนี้เกินตัว?
การรู้ตัวเร็วว่า กำลังมีแนวโน้มก่อหนี้เกินกว่าความสามารถในการชำระ เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ช่วยให้เราหยุด และปรับพฤติกรรมได้ทันท่วงที ลองมาสำรวจสัญญาณเหล่านี้กัน
1. มีหนี้มากกว่า 40% ของรายได้
ลองคำนวณสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt to Income Ratio) ของตัวเอง โดยนำยอดหนี้ที่ต้องผ่อนชำระทั้งหมดในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ยอดชำระบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล มาหารด้วยรายได้สุทธิต่อเดือน แล้วคูณด้วย 100
หากผลลัพธ์ที่ได้สูงกว่า 40% แสดงว่าคุณกำลังมีภาระหนี้ในระดับที่ตึงตัว และมีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
2. เริ่มชำระหนี้แบบขั้นต่ำบ่อย ๆ
สังเกตพฤติกรรมการชำระหนี้ของตัวเอง หากพบว่าเริ่มเลือกจ่ายแค่ยอดขั้นต่ำบ่อยครั้ง นี่คือสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า คุณกำลังมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน แม้การจ่ายขั้นต่ำจะช่วยให้คุณไม่ผิดนัดชำระหนี้ แต่ยอดคงค้างที่เหลือจะถูกคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงลิบ (มักอยู่ที่ 16-20% ต่อปี) ทำให้ยอดหนี้ลดลงช้ามาก หรือบางกรณีอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
3. เริ่มผิดนัดชำระหนี้บ่อย
การผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเล็กน้อย หรือบ่อยครั้งเพียงใด ล้วนส่งผลกระทบเชิงลบต่อประวัติทางการเงินของคุณทั้งสิ้น นอกจากจะต้องเสียค่าปรับ และดอกเบี้ยเพิ่มแล้ว ยังอาจถูกบันทึกประวัติการผิดนัดชำระ ซึ่งจะส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อในอนาคต การพบว่าตัวเองเริ่มลืมจ่ายบิล หรือไม่สามารถจ่ายได้ตรงตามกำหนด จึงเป็นสัญญาณชัดเจนว่า ภาระหนี้สินกำลังเกินความสามารถในการบริหารหนี้แล้ว
4. จำไม่ได้ว่าตัวเองมีหนี้อะไรบ้างและต้องจ่ายเท่าไร
เมื่อไรก็ตามที่คุณเริ่มสับสนว่ามีหนี้อะไรบ้าง ยอดคงเหลือเท่าไร ต้องชำระวันไหน หรือแต่ละรายการมีอัตราดอกเบี้ยเท่าไร นั่นคือสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า
หนี้สินของคุณอาจมีมากเกินกว่าจะควบคุม และจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่ไม่สามารถติดตามรายละเอียดหนี้สินได้ทั้งหมด ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ แต่ยังอาจทำให้คุณไม่สามารถวางแผนบริหารหนี้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นหนี้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
5 ขั้นตอนเคลียร์หนี้จน พร้อมเสริมสร้างสภาพคล่องทางการเงิน
หากสำรวจแล้วพบว่า กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้จน หรือมีสัญญาณก่อหนี้เกินตัว อย่าเพิ่งท้อใจ Krungsri The COACH มี 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดการหนี้สินได้อย่างเป็นระบบ และกลับมามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นได้
1. ปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายให้เหมาะสม
การเคลียร์หนี้จะไม่มีวันสำเร็จหากยังคงมีพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบเดิม ๆ ถึงเวลาที่คุณต้องกล้าเผชิญหน้ากับความจริง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินอย่างจริงจัง เริ่มจากการสำรวจค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อเสื้อผ้า ของใช้ราคาแพงจำนวนมาก หรือค่าบริการ Subscription ต่าง ๆ ที่แทบไม่ได้ใช้บริการ จากนั้นพิจารณาตัดทอน หรือลดความถี่ลง เพื่อนำเงินส่วนนั้นมาโปะหนี้เพิ่ม ฝึกคิดให้รอบคอบก่อนใช้เงินทุกครั้ง และเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่าง “อยากได้” กับ “จำเป็นต้องมี”
2. หาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน
นอกจากการลดรายจ่ายแล้ว การเพิ่มรายได้ก็เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเร่งกระบวนการปลดหนี้ให้เร็วขึ้น ลองมองหาโอกาสในการเพิ่มรายได้ที่สอดคล้องกับทักษะ และความถนัดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการรับงานพิเศษในวันหยุด การขายของออนไลน์ การทำงานฟรีแลนซ์ หรือการแปลงทักษะที่มีให้เป็นบริการที่สร้างรายได้ เช่น สอนพิเศษ รับจัดดอกไม้ ทำอาหารขาย ฯลฯ จัดสรรเงินที่ได้จากรายได้เสริมนี้เข้าสู่แผนการชำระหนี้ของคุณโดยเฉพาะ โดยมุ่งเน้นไปที่หนี้จนที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยโดยรวมลดลงเร็วที่สุด
3. จัดประเภทหนี้ พร้อมเรียงลำดับความสำคัญในการชำระหนี้
การบริหารหนี้อย่างมีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการรู้จักหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ให้ดีเสียก่อน รวบรวมข้อมูลหนี้สินทั้งหมด จดบันทึกรายละเอียดให้ครบถ้วน ทั้งประเภทหนี้ ยอดคงค้าง อัตราดอกเบี้ย กำหนดชำระ และจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายในแต่ละงวด จากนั้นวางแผนการชำระหนี้ โดยอาจเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้
ให้เรียงลำดับหนี้จากน้อยไปมาก จ่ายเงินขั้นต่ำสำหรับทุกหนี้ ยกเว้นหนี้ก้อนเล็กที่สุดซึ่งจะทุ่มเทจ่ายให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เมื่อปิดหนี้ก้อนแรกได้แล้ว ให้นำเงินส่วนนั้นไปรวมกับยอดจ่ายของหนี้ก้อนที่เล็กเป็นลำดับถัดไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ วิธีนี้จะสร้างแรงจูงใจ และโมเมนตัมในการชำระหนี้ได้ดี
ให้เรียงลำดับหนี้ตามอัตราดอกเบี้ย จากสูงสุดไปต่ำสุด จ่ายเงินขั้นต่ำสำหรับทุกหนี้ ยกเว้นหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดซึ่งจะทุ่มเทจ่ายให้มากที่สุด วิธีนี้จะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้มากที่สุดในระยะยาว
4. วางแผนการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่มีอยู่
การวางแผนชำระหนี้เริ่มต้นจากการรู้สถานะการเงินที่แท้จริงของตนเอง ทบทวนรายรับรายจ่ายทั้งหมดอย่างละเอียด โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายจำเป็น (ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง) เงินออม และเงินสำหรับชำระหนี้
พยายามจัดสรรเงินสำหรับชำระหนี้ให้มากกว่ายอดขั้นต่ำเสมอ โดยเฉพาะกับหนี้จนที่มีดอกเบี้ยสูง และต้องมั่นใจว่า งบประมาณที่วางไว้เป็นไปได้จริงและไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น มิฉะนั้นแผนการชำระหนี้อาจล้มเหลวได้ง่าย ๆ หากคุณรู้สึกว่าภาระการชำระหนี้หนักเกินไป อาจพิจารณาติดต่อเจ้าหนี้เพื่อเจรจาขอ
ปรับโครงสร้างหนี้ หรือขยายระยะเวลาการชำระให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของคุณ
5. ใช้สินเชื่อรวมหนี้เป็นก้อนเดียว เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
สำหรับผู้ที่มีหนี้หลายก้อน โดยเฉพาะหนี้ดอกเบี้ยสูง การพิจารณาใช้สินเชื่อรวมหนี้ (Debt Consolidation) อาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอสินเชื่อก้อนใหม่ที่มีบริการโอนปิดหนี้เดิมให้ แล้วเหลือผ่อนจ่ายเพียงที่เดียว ข้อดีของการรวมหนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดยอดหนี้ผ่อนต่อเดือน แต่ยังช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายรวม และสำคัญที่สุดคือช่วยให้การบริหารจัดการหนี้ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องคอยจำกำหนดชำระหลาย ๆ วัน เสี่ยงต่อการผิดนัดชำระ ต้องจ่ายค่าติดตามทวงถาม และดอกเบี้ยผิดนัดชำระเพิ่มเติมด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีวินัยในการชำระเงินอย่างสม่ำเสมอ และต้องไม่กลับไปสร้างหนี้เพิ่มเติมอีก มิฉะนั้นอาจกลับมาติดกับดักวงจรหนี้ซ้ำรอยเดิม
Krungsri The COACH แนะนำ : รวมหนี้ไว้ที่เดียว ด้วยสินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล บริการรวมยอดหนี้
การรวมยอดหนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการหนี้หลายก้อน ช่วยให้คุณบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสปลดหนี้ได้เร็วขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบริการรวมยอดหนี้ที่น่าเชื่อถือ Krungsri The COACH ขอแนะนำ “
สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล บริการรวมยอดหนี้” จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่จะช่วยให้คุณจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยให้บริหารจัดการหนี้ได้ง่าย รวมทุกยอดไว้ในที่เดียว
- วงเงินสูงสุดถึง 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน หรือสูงสุด 2 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ช่วยให้ยอดหนี้ลดลงเร็วขึ้น
- ระยะเวลาผ่อนชำระยืดหยุ่น ตั้งแต่ 12-60 เดือน
- ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ยื่นกู้ง่าย อนุมัติไว
- มีวงเงินส่วนต่างสำหรับใช้จ่ายยามจำเป็น
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว | อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี
ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติมที่ www.krungsri.com
การทำความเข้าใจประเภทของหนี้สินที่เรามีอยู่ ตระหนักถึงสัญญาณอันตรายของการมีหนี้เกินกำลัง และลงมือปฏิบัติตามแผนการจัดการหนี้อย่างมีวินัย ถือเป็นหัวใจสำคัญในการนำพาตัวเองออกจากวงจรหนี้จน และมุ่งหน้าสู่สุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น อย่าปล่อยให้ภาระหนี้สินบั่นทอนโอกาสในชีวิต การเริ่มต้นวางแผน และลงมือแก้ไขตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง แม้เส้นทางการปลดหนี้อาจต้องใช้เวลา ความอดทน และความมุ่งมั่น แต่ผลลัพธ์ปลายทางคืออิสรภาพทางการเงิน ความสบายใจ และความสามารถในการออม หรือลงทุนเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับความพยายามอย่างแน่นอน
อ้างอิง