ปรับโครงสร้างหนี้เสียประวัติไหม ดีหรือไม่ดี ตอบชัดในที่เดียว
รอบรู้เรื่องยืมเงิน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ปรับโครงสร้างหนี้เสียประวัติไหม ดีหรือไม่ดี ตอบชัดในที่เดียว

icon-access-time Posted On 30 พฤษภาคม 2568
By Krungsri The COACH
การปรับโครงสร้างหนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การมีหนี้หลายก้อนจนบริหารจัดการได้ยาก หรือการมีหนี้ก้อนใหญ่จนส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของตนเอง โดยจะช่วยให้คุณ และเจ้าหนี้ สามารถตกลงหาทางออกในการชำระหนี้ร่วมกันได้ แล้วการปรับโครงสร้างหนี้เสียประวัติไหม? ส่งผลกระทบต่อเครดิตบูโรของเราหรือเปล่า? ใครที่กำลังสงสัยในเรื่องนี้อยู่ Krungsri The COACH จะพาไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน

ปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร?

ปรับโครงสร้างหนี้ คือ การที่ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ (ธนาคารหรือสถาบันการเงิน) ตกลงร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้เดิม เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกหนี้ประสบปัญหาทางการเงิน เช่น มีรายได้ลดลง หรือมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาเดิม

จุดประสงค์หลักของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ การช่วยให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้จนหมด โดยไม่ต้องผิดนัดชำระหนี้ และไม่ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ในขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์กับเจ้าหนี้ที่ยังคงได้รับชำระหนี้ แม้จะอาจต้องใช้เวลานานขึ้น หรือได้รับผลตอบแทนน้อยลงก็ตาม

5 รูปแบบปรับโครงสร้างหนี้ที่คนนิยมทำกัน

ปรับโครงสร้างหนี้

เมื่อพูดถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หลายคนอาจนึกไม่ออกว่า ทำได้อย่างไรบ้าง ในความเป็นจริงแล้ว มีหลายวิธีที่ลูกหนี้สามารถเลือกใช้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะกับสถานการณ์การเงินของตนเอง มาดู 5 ตัวอย่างการปรับโครงสร้างหนี้ยอดนิยมกัน
 

1. การเปลี่ยนประเภทหนี้

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะผู้ที่มีหนี้หลายก้อนที่สามารถจ่ายขั้นต่ำได้ เช่น บัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสด แล้วรู้สึกว่า บริหารจัดการหนี้ได้ยาก โดยวิธีนี้จะช่วยให้คุณนำหนี้หลาย ๆ ก้อนมารวมกัน แล้วเปลี่ยนเป็นสินเชื่อประเภทที่มีกำหนดระยะเวลาชำระคืนที่แน่นอน (Term Loan) เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อเพื่อการรวมหนี้ ซึ่งจะมีแผนผ่อนชำระที่ชัดเจน ช่วยให้จัดการหนี้ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
 

2. การรีไฟแนนซ์ (Refinance)

การรีไฟแนนซ์ เป็นการนำสินเชื่อใหม่มาปิดสินเชื่อเก่า เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ระยะเวลาการผ่อนชำระที่นานขึ้น หรือค่างวดต่อเดือนที่ลดลง โดยอาจเป็นการเปลี่ยนไปใช้บริการกับธนาคาร หรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ หรือขอเงื่อนไขใหม่กับสถาบันการเงินเดิมก็ได้
 

3. การขอลดดอกเบี้ยชั่วคราว

คุณสามารถเจรจากับธนาคาร หรือสถาบันการเงิน เพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยลงเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น 3-6 เดือน เพื่อลดภาระการชำระหนี้ในช่วงที่มีปัญหาทางการเงิน ซึ่งสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ทันที ทำให้มีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ ในช่วงที่เผชิญปัญหาทางการเงิน และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อข้อมูลรายงานสถานะเครดิตบูโรของคุณได้
 

4. การขอพักชำระเงินต้น

การขอพักชำระเงินต้น แต่ยังคงจ่ายดอกเบี้ย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยบรรเทาภาระการชำระหนี้ได้ โดยคุณจะได้รับการอนุมัติให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น 3-6 เดือน โดยที่ยังไม่ต้องจ่ายเงินต้น ทำให้ค่างวดต่อเดือนลดลงมาก เหมาะสำหรับคนที่ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราว เช่น ว่างงานระยะสั้น หรือได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้ และต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายเร่งด่วน
 

5. การขอขยายเวลาชำระหนี้

เป็นวิธีที่ช่วยให้ค่างวดต่อเดือนลดลงได้ เช่น จากเดิมที่ต้องผ่อนชำระหนี้ให้หมดภายใน 5 ปี อาจขอขยายเป็น 7 ปี หรือ 10 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินระยะยาว แต่ยังมีรายได้ประจำที่แน่นอน เพียงแต่รายได้นั้นอาจไม่เพียงพอสำหรับค่างวดที่ต้องจ่ายตามสัญญาเดิม

การปรับโครงสร้างหนี้ส่งผลกระทบต่อสถานะเครดิตบูโรไหม

ผลของการปรับโครงสร้างหนี้

สำหรับใครที่สงสัยว่า ปรับโครงสร้างหนี้เสียประวัติไหม? การปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะมีการอัปเดตสถานะในเครดิตบูโรอยู่แล้วเป็นปกติ แต่สถานะที่เปลี่ยนไปนี้ จะตีความว่า “เสียประวัติ” หรือ “ไม่เสียประวัติ” ในความเข้าใจลูกหนี้ ก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ขอปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้
 

ในกรณีที่ยังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ และขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะเกิดปัญหา

การปรับโครงสร้างหนี้แบบนี้ จะส่งผลกระทบต่อการกู้เงินในอนาคตไม่มากนัก โดยสถานะของบัญชีอาจถูกเปลี่ยนเป็นรหัส 12 หรือ 012 ซึ่งหมายถึง “พักชำระหนี้ตามนโยบายของสมาชิก” หรืออาจเป็นรหัส 13 หรือ 013 ซึ่งหมายถึง “มีการขอพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐ” ขึ้นอยู่กับรูปแบบปรับโครงสร้างหนี้ที่คุณทำ และนโยบายการปล่อยสินเชื่อของแต่ละสถาบันการเงิน
 

ในกรณีที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้หลังผิดนัดชำระหนี้แล้ว

หากมีการค้างชำระเกิน 90 วัน ประวัติการขอสินเชื่อของคุณจะได้รับผลกระทบมากขึ้น โดยสถานะของบัญชีอาจเป็นรหัส 20 หรือ 020 ซึ่งหมายถึง “หนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน” ก่อน แล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็นรหัสตามประเภทของการปรับโครงสร้างหนี้ที่เลือกทำ ซึ่งทางสถาบันการเงินสามารถตรวจสอบดูย้อนหลังได้

สรุปแล้วการปรับโครงสร้างหนี้ดีไหม?

แม้ว่าการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อในอนาคต แต่ผลกระทบนี้จะน้อยกว่าการปล่อยให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ต่อเนื่องจนถูกฟ้องร้องดำเนินคดี และในระยะยาว หากคุณสามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ รายงานข้อมูลเครดิตของคุณก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง

ที่สำคัญต้องจำไว้ว่า การขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย และปล่อยให้หนี้ค้างชำระจนถูกฟ้องร้อง เพราะการปรับโครงสร้างหนี้เป็นการแสดงความรับผิดชอบ และความตั้งใจที่จะชำระหนี้ของคุณ ซึ่งเจ้าหนี้จะพิจารณาในแง่บวกมากกว่า

สถานะเครดิตบูโรอยู่ได้กี่ปี และทำไมเราต้องให้ความสำคัญ?

สถานะเครดิตบูโร

สถานะเครดิตบูโรของคุณจะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากวันที่สถาบันการเงินส่งข้อมูลเข้าระบบล่าสุด โดยสถาบันการเงินจะส่งข้อมูลต่อเนื่องอีก 5 ปี ซึ่งหมายความว่า หากคุณมีประวัติการผิดนัดชำระหนี้ หรือการปรับโครงสร้างหนี้ ข้อมูลนี้จะอยู่ในประวัติเครดิตของคุณเป็นเวลา 8 ปี หลังจากนั้นข้อมูลจะถูกลบออกจากระบบ

แล้วทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับสถานะเครดิตบูโร? นั่นก็เพราะว่า ประวัติเครดิตบูโรเป็นปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาการให้สินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือแม้แต่การอนุมัติบัตรเครดิต โดยสถาบันการเงินจะดูประวัติเครดิตของคุณย้อนหลัง เพื่อประเมินความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ ถ้าสถานะในเครดิตบูโรปกติ ก็หมายความว่า คุณเป็นลูกหนี้ชั้นดี ชำระหนี้ตรงเวลา ก็จะเพิ่มโอกาสให้ได้รับอนุมัติง่ายขึ้นนั่นเอง

Krungsri The COACH แนะนำ : บริการรวมยอดหนี้ ตัวช่วยจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลเสียต่อเครดิต

สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคลกรุงศรี

สำหรับคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้หลายก้อน Krungsri The COACH ขอแนะนำ สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคลกรุงศรี เพื่อรวมหนี้เป็นก้อนเดียว ทางเลือกที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการกับภาระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษตามเงื่อนไขของธนาคาร
  • สามารถผ่อนชำระได้นานถึง 60 เดือน ยิ่งเลือกผ่อนยาวจะทำให้ค่างวดต่อเดือนลดลง
  • ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการหนี้หลายก้อน จ่ายที่เดียวจบ สบายใจกว่า

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว | อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี
ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติมที่ www.krungsri.com


สรุปแล้ว เมื่อเผชิญกับปัญหาหนี้สิน การขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ถือเป็นทางออกที่ดีกว่าการปล่อยให้หนี้ค้างชำระ สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อเผชิญปัญหาทางการเงิน คือการเปิดใจพูดคุยกับเจ้าหนี้แต่เนิ่น ๆ ไม่ปล่อยให้ปัญหาลุกลามจนสายเกินแก้ เพราะทุกปัญหาหนี้สินมีทางออกเสมอ เพียงแค่คุณกล้าที่จะเผชิญหน้า และหาทางแก้ไขอย่างเหมาะสม


อ้างอิง
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา