วางแผนการลงทุนกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ปั้นเงินเกษียณก้อนโต
เพื่อยามเกษียณ
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

วางแผนการลงทุนกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ปั้นเงินเกษียณก้อนโต

icon-access-time Posted On 06 ตุลาคม 2568
By ปริตา ธิติปรีชาพล
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ไม่ใช่แค่สวัสดิการหรือเงินออมของพนักงานบริษัท แต่เป็นเครื่องมือการลงทุนสำคัญที่ช่วยสร้างผลตอบแทนระยะยาว หากวางแผนลงทุนให้เหมาะสม เงินออมที่ถูกหักทุกเดือนก็จะงอกเงยจนกลายเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับวัยเกษียณที่สุขสบาย Krungsri The COACH จะพาทุกคนมาวางแผนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD) ให้พิชิตเป้าหมายเกษียณอย่างเกษมกัน

วางแผนเกษียณด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทำได้จริงไหม ?

ทำได้อย่างแน่นอน และยังเป็นหนึ่งในวิธีที่มั่นคง และมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนอีกด้วย เพราะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีข้อได้เปรียบ ทั้งการสร้างวินัยในการออมผ่านการหักเงินสะสมอัตโนมัติทุกเดือน การได้รับเงินสมทบจากนายจ้างซึ่งเปรียบเสมือนผลตอบแทนที่การันตีตั้งแต่เริ่มต้น และยังมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยบริหารเงินลงทุนให้เติบโตตามนโยบายที่เราเลือก การใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบเหล่านี้อย่างเต็มที่ จะทำให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลายเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งสำหรับแผนเกษียณ

5 ขั้นตอนการวางแผนเกษียณด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 
สะสมเงิน PVD อย่างไร ให้มีเงินมากขึ้นในยามเกษียณ

เพื่อให้เป้าหมายเกษียณเป็นจริงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น ลองเริ่มต้นวางแผนตาม 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ได้ดังนี้

1. สำรวจเงินออม PVD ในปัจจุบันที่มีอยู่

ขั้นตอนแรกคือ รู้จำนวนเงินกองทุนที่ตัวเองมีเสียก่อน ลองตรวจสอบจากเอกสารที่บริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ส่งให้ทุก 6 เดือน เพื่อดูว่า ปัจจุบันคุณมีเงินสะสมเท่าไร นายจ้างสมทบให้เท่าไร และที่สำคัญคือผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นอย่างไร การทราบยอดเงินปัจจุบันจะทำให้คุณเห็นภาพรวม และใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนคำนวณเงินเป้าหมายในอนาคต ทำให้รู้ว่าเงินออมที่มีอยู่ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วาดฝันไว้มากน้อยแค่ไหน

2. คำนวณเงินเป้าหมายเกษียณ และเงินออมในปัจจุบัน

ขั้นต่อไปคือการตั้งเป้าหมายเงินเก็บเพื่อการเกษียณที่ชัดเจน ลองคำนวณค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังเกษียณ เช่น ค่าครองชีพรายเดือน ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายเพื่อไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ต่อเดือน จากนั้นนำเป้าหมายที่ได้มาเปรียบเทียบกับจำนวนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และเงินออมอื่น ๆ ที่มีอยู่ จะทำให้คุณเห็นช่องว่างที่ต้องเติมให้เต็ม

3. เลือกอัตราการออมเงินใน PVD ให้เหมาะสม

เมื่อเห็นเป้าหมายแล้ว การปรับเพิ่มอัตราเงินสะสมคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น บริษัทส่วนใหญ่อนุญาตให้พนักงานสะสมเงินได้สูงสุดถึง 15% ของค่าจ้าง การเพิ่มเงินสะสมเพียงเล็กน้อยในแต่ละเดือนอาจดูไม่มาก แต่ในระยะยาวจะส่งผลมหาศาล เพราะนอกจากเงินต้นที่เพิ่มขึ้นแล้ว คุณยังได้รับเงินสมทบจากนายจ้างเพิ่มตามสัดส่วน (ตามเงื่อนไขของบริษัท) และมีเม็ดเงินให้ผู้จัดการกองทุนนำไปสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้นอีกด้วย

4. เลือกนโยบายการลงทุน (Employee’s Choice) ให้ตอบโจทย์ความต้องการ

นี่คือหัวใจสำคัญของการวางแผนการลงทุนกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ปัจจุบันกองทุนส่วนใหญ่มีนโยบายการลงทุน (Employee’s Choice) ให้เลือกหลากหลายตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากคุณอายุยังน้อย และมีเวลาลงทุนอีกนาน อาจเลือกนโยบายที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสูงเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนสูง ในทางกลับกัน หากใกล้เกษียณในอีก 5 -10 ปี อาจเลือกนโยบายที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้เพื่อรักษาเงินต้น การเลือกนโยบายที่สอดคล้องกับช่วงวัย จะช่วยให้พอร์ตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ของคุณเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

5. ติดตามผล และปรับสัดส่วนมูลค่าเงินลงทุน

การวางแผนไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ คุณควรทบทวน และติดตามผลการดำเนินงานของพอร์ต PVD อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินว่าผลตอบแทนเป็นไปตามคาดการณ์หรือไม่ และนโยบายที่เลือกลงทุนยังเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด และเป้าหมายที่เปลี่ยนไปหรือไม่ หากพบว่าความเสี่ยงสูง หรือต่ำเกินไป คุณสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าเงินเกษียณของคุณยังคงเติบโตอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องเสมอ

ข้อดีของการใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพในการวางแผนเกษียณ

การใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเครื่องมือหลักในการวางแผนเกษียณนั้นมีข้อดีที่โดดเด่น และจับต้องได้หลายประการ ซึ่งช่วยให้เส้นทางสู่วัยเกษียณของคุณราบรื่นยิ่งขึ้น

1. ช่วยส่งเสริมให้เรามีวินัยในการออมเงินในทุก ๆ เดือน

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพใช้กลไกการหักเงินจากเงินเดือนโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการบังคับให้เราออมเงินก่อนใช้จ่าย วิธีนี้ช่วยตัดปัญหาการใช้เงินเกินตัว และทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีเงินเก็บอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน การสร้างวินัยทางการออมในลักษณะนี้เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว ทำให้เรามีเงินเก็บเพื่ออนาคตโดยไม่ต้องพยายามฝืนใจตัวเองมากนัก

2. เหมือนได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น

จุดเด่นที่สุดของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคือ “เงินสมทบ” จากนายจ้าง ซึ่งเปรียบเสมือนโบนัส หรือเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นมาโดยอัตโนมัติทุกเดือน เงินส่วนนี้จะถูกนำไปรวมกับเงินสะสมของเราเพื่อสร้างผลตอบแทนต่อไป เท่ากับว่าเราไม่ได้ออมเงินเพียงลำพัง แต่มีนายจ้างช่วยออมอีกแรง ทำให้เงินในกองทุนเติบโตได้เร็วกว่าการออมด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว

3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

เงินสะสมที่เรานำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในแต่ละปี สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ เช่น RMF, SSF และประกันบำนาญ สิทธิประโยชน์นี้ช่วยให้เราประหยัดภาษีในแต่ละปี ทำให้มีเงินเหลือไปต่อยอดการลงทุน หรือใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ได้มากขึ้น

4. มีมืออาชีพมาช่วยดูแล และบริหารเงินลงทุน

เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมดจะได้รับการบริหารจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งมีทีมผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญคอยดูแล วิเคราะห์สภาวะตลาด และตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ แทนเรา ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเงินออมเพื่อการเกษียณของเราจะได้รับการดูแลอย่างดี และมีโอกาสเติบโตตามหลักการลงทุนที่ถูกต้อง แม้ว่าเราจะไม่มีเวลาติดตามตลาดหรือไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนเชิงลึกก็ตาม

ข้อควรระวังในการลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

แม้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อควรตระหนักเช่นกัน เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนไม่มีการรับประกัน และมีความผันผวนไปตามสภาวะตลาด การเลือกนโยบายการลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้อาจทำให้มูลค่าเงินลงทุนลดลงได้

นอกจากนี้ เงื่อนไขการถอนเงินก่อนเกษียณอายุก็มักมีข้อจำกัด และอาจเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น จึงควรศึกษาข้อบังคับของกองทุน และวางแผนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน หรือนำเงินออก

มีเหตุต้องลาออก ทำอย่างไรกับเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดี ?

หากมีความจำเป็นต้องออกจากงานก่อนถึงวัยเกษียณ หรือย้ายบริษัทที่ทำงานการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีผลต่อเป้าหมายการเกษียณ และภาระภาษี โดยมีทางเลือกหลัก ๆ ดังนี้

คงเงินกองทุนทั้งหมดไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

หากคุณยังไม่ต้องการใช้เงินก้อนนี้ และต้องการให้เงินลงทุนเติบโตต่อไป หรือต้องการรอให้เข้าเงื่อนไขการเกษียณเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี (อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุน 5 ปีขึ้นไป) คุณสามารถเก็บเงินไว้ในกองทุนเดิมได้ โดยอาจมีค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีรายปี หากย้ายบริษัทสามารถโอนย้ายไปบริษัทใหม่ได้ วิธีนี้ช่วยรักษาความต่อเนื่องของการลงทุน และรักษาสิทธิ์ทางภาษีไว้ได้ด้วย

โอนย้ายเงินไปยังกองทุน RMF
อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจคือ การโอนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ทั้งหมดไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่รองรับ PVD วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินลงทุนต่อได้ด้วยตนเอง มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายให้เลือกมากกว่า และยังคงสิทธิ์ในการนับอายุสมาชิกต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ทางภาษีได้เช่นเดิม ทำให้การลงทุนเพื่อการเกษียณไม่สะดุดลง

ถอนเงินออกมาทั้งหมด
หากมีความจำเป็นสามารถถอนเงินก้อนนี้ออกได้ แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิ์ทางภาษี เพราะเงินที่ถอนออกมา (ยกเว้นส่วนเงินสะสมของตนเอง) จะต้องถูกนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีนั้น ๆ อาจทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าปกติ การถอนเงินทั้งหมดจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วน หรือมีความมั่นใจว่าจะสามารถนำเงินไปบริหารจัดการให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

Krungsri The COACH แนะนำให้รักษาสิทธิลดหย่อนภาษีด้วยกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

หากเกิดกรณีไม่คาดฝันต้องออกจากงานก่อนกำหนด ก็อย่าเพิ่งหมดหวัง ยังมีทางเลือกที่จะทำให้เป้าหมายเกษียณของคุณเป็นจริงได้ นั่นคือการโอนย้ายเงิน PVD มาลงทุนต่อเนื่องในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งจะช่วยรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี และทำให้เงินของคุณเติบโตต่อไปได้ สำหรับผู้ที่กำลังมองหากองทุน RMF น่าสนใจ ทางกรุงศรีมีกองทุนที่ตอบโจทย์หลากหลายสไตล์มาแนะนำ ดังนี้

กองทุนเปิดกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFAFIXRMF)

  • เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี อายุของตราสารหนี้ที่เลือกลงทุนในพอร์ต 0-5 ปี และอาจมีลงทุนในตราสารหนี้ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับ A-
  • เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ทั่วไป เพราะกองทุนมีความยืดหยุ่นในการกระจายการลงทุนมาก
  • กองทุน KFAFIXRMF เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยมีระยะเวลาลงทุนตามเงื่อนไขกรมสรรพากร และสามารถรับความผันผวนจากกองทุนที่มีโอกาสติดลบในบางช่วงระยะเวลาที่ลงทุน แนะนำให้ลงทุนตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นไดนามิคเพื่อการเลี้ยงชีพ (KFDNMRMF)

  • เน้นลงทุนในหุ้นไทยจำนวน 15-20 ตัว โดยไม่จำกัดประเภทและขนาดของหุ้น
  • ผู้จัดการกองทุนมีวิธีการคัดเลือกหุ้นโดยการวิเคราะห์รายตัว เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด
  • กองทุน KFDNMRMF เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี และชอบลงทุนในหุ้นไทย หลากหลายประเภท โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดหุ้น

กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFGBRANRMF)

  • เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทเจ้าของแบรนด์ชั้นนำที่มีลูกค้าทั่วโลก เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสุขภาพ และเทคโนโลยี ที่ทนทานต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ
  • กองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund เฟ้นหาบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง
  • กองทุน KFGBRANRMF เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี และชอบลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงในช่วงตลาดขาขึ้น และสามารถปกป้องความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง

กองทุน PVD และ RMF มีประโยชน์ต่อการวางแผนเกษียณอายุเป็นอย่างมาก และถ้ามีการวางแผนเป็นอย่างดีจะช่วยให้เงินสะสมของเรามีโอกาสออกดอกออกผล มีเงินใช้หลังเกษียณอย่างสบาย ๆ ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่หากยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มปรับพอร์ตการลงทุน PVD อย่างไร หรือพอร์ต RMF มีอยู่เหมาะกับเป้าหมายเกษียณหรือยัง ธนาคารกรุงศรีมีผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา สามารถฝากข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน
  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • KFGBRANRMF ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • KFAFIXRMF อาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจากการลงทุนบางส่วนหรือทั้งจำนวนได้ และในการขายคืนหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการ


บทความโดย
ปริตา ธิติปรีชาพล
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา


อ้างอิง
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา