เมื่อพูดถึงคำว่า
“มรดก” หลายคนก็คงมีภาพในหัวว่าเป็นแค่การส่งมอบทรัพย์สินตามเจตนารมณ์ของผู้เสียชีวิตสู่ทายาทโดยธรรม หรือทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม แต่ทว่าการรับมรดกนั้นไม่ได้รับเพียงแค่ทรัพย์สินแค่อย่างเดียวน่ะสิ เพราะบางมรดกก็มี
หนี้ติดมาด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า “หนี้มรดก” ซึ่งหลายคนอ่านแล้วก็อาจจะสงสัยว่า แล้วแบบนี้มีวิธีแก้หนี้มรดกอย่างไรบ้าง ? Krungsri The COACH จะอธิบายครบทุกมุมของข้อสงสัย ให้คุณเข้าใจแบบไม่มีตกหล่น
หนี้มรดก คืออะไร ?
แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องวิธีแก้หนี้มรดก เรามาทำความรู้จักกับคำว่า “หนี้” และ “มรดก” กันก่อนเลย…
หนี้ คือ การผูกพันตนเองต่อคู่สัญญาตั้งแต่สองคนขึ้นไป เช่น การทำสัญญาเช่าซื้อ สัญญากู้ยืมเงิน ฯลฯ ซึ่งจะก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องระหว่างคู่สัญญาขึ้น
มรดก คือ ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ ฯลฯ สิทธิต่าง ๆ ของเจ้ามรดกที่มีอยู่ก่อนเสียชีวิต เช่น สิทธิของผู้เช่าซื้อ สิทธิเรียกร้องค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน รวมไปถึงหนี้ที่เจ้ามรดกได้ก่อเอาไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต ซึ่งทายาทมีหน้าที่ชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้
สรุปคือ ถ้าเป็นหนี้แล้วเสียชีวิต
“หนี้ก็ถือเป็นมรดกได้” แม้ว่าเจ้ามรดกที่มีหนี้อยู่จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่หนี้ไม่ได้หมดตามไปด้วย ภาระการชำระหนี้จึงตกแก่ทายาท แต่ถึงอย่างไรก็ตามกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าห้ามฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
หนี้มรดก เป็นคดีในรูปแบบไหน ?
หนี้มรดกจัดเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ และความรับผิดชอบทางการเงิน ไม่ใช่คดีอาญา ดังนั้น ทายาทจึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องรับโทษจำคุกแทนเจ้ามรดก ความรับผิดชอบของทายาทจะจำกัดอยู่เพียงแค่การชำระหนี้สินคืนแก่เจ้าหนี้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น
ทายาทโดยชอบธรรมที่มีสิทธิรับมรดกคือใครบ้าง ?
- ทายาทโดยพินัยกรรม เป็นทายาทที่มีสิทธิ์รับมรดกตามที่ผู้ตายกำหนดไว้ในพินัยกรรม
- ผู้สืบสันดาน
- บิดามารดา
- พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
- พี่น้องร่วมบิดา หรือมารดาเดียวกัน
- ปู่ ย่า ตา ยาย
- ลุง ป้า น้า อา
สำหรับคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายด้วย โดยมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายด้วยเสมอไม่ว่าผู้ตายจะมีทายาทโดยธรรมลำดับใด แต่ส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่คู่สมรสจะได้รับแตกต่างไปตามลำดับของทายาทโดยธรรมของผู้ตายที่มีชีวิตอยู่ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1635 นั่นเอง
ความรับผิดชอบของทายาทต่อหนี้มรดก
ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเมื่อได้รับมรดกมาแล้ว ก็ถือว่าได้รับหนี้มรดกมาด้วย เจ้าหนี้จะสามารถทวงหนี้ของผู้ตายกับทายาทได้เท่ากับทรัพย์สินที่ทายาทได้รับมรดกมาเท่านั้น หากหนี้มากกว่าทรัพย์สินที่ได้รับมรดก ทายาทไม่จำเป็นต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เกินกว่าจำนวนทรัพย์สินที่ได้รับมรดก
เจ้าหนี้สามารถฟ้องทายาทให้ชำระหนี้มรดกได้ภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รู้ว่าเจ้ามรดกเสียชีวิต ดังนั้น สิ่งที่ทายาทควรทำคือ
ตรวจสอบให้ดีก่อนว่ามรดกที่ได้รับมามีหนี้ติดมาด้วยไหม ถ้ามีก็ต้องจัดการหนี้ก่อนค่อยแบ่งทรัพย์มรดก
สิ่งที่ควรทำเบื้องต้นเมื่อได้รับหนี้มรดก
เมื่อทราบว่ามรดกที่ได้รับอาจมีหนี้สินพ่วงมาด้วย ทายาทไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป แต่ควรตั้งสติ และดำเนินการตามขั้นตอนอย่างรอบคอบ เพื่อจัดการปัญหาได้อย่างถูกต้อง
ตรวจสอบหนี้มรดกที่ได้รับอย่างละเอียด
สิ่งแรกที่ทายาทควรทำคือการรวบรวมข้อมูล และตรวจสอบรายละเอียดของกองมรดกทั้งหมด ทั้งในส่วนของทรัพย์สิน เช่น บ้าน ที่ดิน เงินฝากในธนาคาร และส่วนของหนี้สิน เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล โดยรวบรวมเอกสารสัญญา หรือใบแจ้งหนี้ต่าง ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเงินที่แท้จริงของเจ้ามรดก
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
เนื่องจากเรื่องมรดกมีรายละเอียดทางกฎหมายที่ซับซ้อน และอาจส่งผลกระทบในระยะยาว การปรึกษาทนายความ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เข้าใจถึงสิทธิ หน้าที่ และขอบเขตความรับผิดชอบของตนเอง รวมถึงการจัดการเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
การวางแผนภาษีมรดก เพื่อให้ดำเนินการทุกอย่างถูกต้อง และรักษาผลประโยชน์สูงสุดของทายาท
ตัดสินใจอีกครั้งว่าจะรับมรดก หรือสละมรดก
หลังจากประเมินทรัพย์สิน และหนี้สินทั้งหมดแล้ว ทายาทมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะ “รับมรดก” หรือ “สละมรดก” หากทรัพย์สินมีค่ามากกว่าหนี้สิน การรับมรดกก็อาจเป็นประโยชน์ แต่ถ้าหนี้สินมีมูลค่ามากกว่าทรัพย์สิน การสละมรดกก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ ทายาทไม่สามารถเลือกรับเฉพาะทรัพย์สิน และสละเฉพาะหนี้สินได้ ต้องตัดสินใจรับ หรือสละทั้งหมดเท่านั้น
ดำเนินการชำระหนี้ตามกฎหมาย
หากตัดสินใจรับมรดก ลำดับถัดไปคือการจัดการหนี้สินให้เรียบร้อยตามกฎหมาย โดยหลักการคือต้องนำทรัพย์สินจากกองมรดกไปชำระหนี้คืนแก่เจ้าหนี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน หากมีทรัพย์สินเหลือจึงจะสามารถนำมาแบ่งปันกันระหว่างทายาทได้ การจัดการหนี้ก่อนแบ่งทรัพย์สินจะช่วยป้องกันปัญหาการฟ้องร้องที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
วิธีจัดการหนี้มรดกอย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากทำตามขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว การจัดการหนี้มรดกจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างทรัพย์สิน และหนี้สินที่ได้รับมา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณีหลัก การทำความเข้าใจในแต่ละสถานการณ์จะช่วยให้ทายาทเลือกวิธีแก้หนี้มรดกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามกฎหมาย
กรณีที่ 1 หนี้มีมูลค่าน้อยกว่าสินทรัพย์
หนี้มรดกในกรณีนี้อาจจะเกิดได้หลายทางด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ในภาพประกอบบ้านราคา 2 ล้านบาท แต่เจ้ามรดกมีหนี้อยู่จำนวน 1 ล้านบาท ถ้าหากทายาทไม่ต้องการที่จะเก็บบ้านไว้ก็นำบ้าน และหนี้มาหักลบกลบหนี้กัน ดังนั้นทายาทก็จะได้ส่วนต่างจำนวน 1 ล้านบาทไปเลย
แต่อีกทางคือ ถ้าหากทายาทต้องการที่จะเก็บบ้านราคา 2 ล้านบาทไว้ ก็ต้องไปหาเงินสดจำนวน 1 ล้านบาท ใช้หนี้ตรงนี้ จากนั้นจึงทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์บ้านเป็นของตนเองได้นั่นเอง
กรณีที่ 2 สินทรัพย์มีมูลค่าเท่ากับหนี้
ในกรณีที่ในกรณีที่สองนี้ คือ หนี้มรดกมีจำนวนหนี้เท่ากับจำนวนสินทรัพย์ ซึ่งสิ่งที่ทำได้เลยก็คือ การหักกลบลบหนี้สินทรัพย์ที่มีอยู่ และหนี้ที่เหลือออกไปโดยอัตโนมัติ
อีกทางหนึ่งถ้าหากทายาทต้องการที่จะเก็บบ้านเอาไว้ก็ต้องทำการเคลียร์หนี้ โดยให้ทำสินเชื่อกู้ซื้อบ้านหลังนั้นเอาไว้ จะเปรียบเสมือนกับการที่เรากู้ซื้อบ้านจากเจ้ามรดก หลังจากนั้นเราก็จะเป็นเจ้าของบ้านโดยชอบธรรม และเราก็ผ่อนชำระหนี้บ้านตามระเบียบนั่นเอง
กรณีที่ 3 สินทรัพย์มีมูลค่าน้อยกว่าหนี้
ในกรณีสุดท้ายคือ สินทรัพย์มีมูลค่าน้อยกว่าหนี้มรดก ทายาทสามารถให้เจ้าหนี้ทำเรื่องฟ้องยึดทรัพย์สินส่วนนั้นเพื่อไปจัดการหนี้ได้เลย แต่ถ้ามูลค่าของสินทรัพย์มีส่วนต่างจากหนี้มรดก ทายาทไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ อย่างเช่น ราคาบ้าน 2 ล้านบาท หนี้ 3 ล้านบาท เงิน 1 ล้านบาทในส่วนนี้ทายาทไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ เพราะจะไปสอดคล้องกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 ที่ว่า “ทายาทไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้สินเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน”
ตอบคำถามที่เจอบ่อยเกี่ยวกับ “หนี้มรดก”
มาถึงช่วงตอบคำถามที่หลายคนยังคงสงสัยเกี่ยวกับหนี้มรดก Krungsri The COACH ได้สรุปคำตอบมาไว้ให้แล้ว
หนี้มรดกมีอายุความกี่ปี เจ้าหนี้ต้องฟ้องทายาทลูกหนี้ภายในกี่ปี ?
เจ้าหนี้ต้องฟ้องทายาทเพื่อเรียกร้องให้ชำระหนี้ภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้รู้ หรือควรจะรู้ถึงการเสียชีวิตของเจ้ามรดก หากเจ้าหนี้ไม่ดำเนินการฟ้องร้องภายในระยะเวลาดังกล่าว จะถือว่าคดีขาดอายุความ และไม่สามารถเรียกร้องให้ทายาทชำระหนี้ได้อีก
หากเป็นหนี้เสีย ตามกฎหมายแล้ว ทายาทยังต้องรับผิดชอบอยู่ไหม ?
โดยหลักแล้วทายาทยังคงต้องรับผิดชอบในหนี้สินตามกฎหมาย ตราบใดที่หนี้นั้นยังไม่หมดอายุความ คำว่า หนี้เสีย (NPL) เป็นศัพท์ในทางบัญชีของสถาบันการเงิน แต่ในทางกฎหมายภาระหนี้ยังคงอยู่ ซึ่งทายาทจะต้องรับผิดชอบชำระคืนจากกองมรดก แต่ไม่เกินกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับ
พ่อแม่เป็นหนี้ เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์ลูก หรือทายาทได้ไหม ?
เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์สินส่วนตัวของทายาทได้เด็ดขาด ความรับผิดชอบของทายาทจำกัดอยู่เพียงทรัพย์สินที่ได้รับจากกองมรดกเท่านั้น ทรัพย์สินที่ทายาทหามาได้เอง เช่น เงินเดือน เงินออมส่วนตัว หรือบ้านและรถยนต์ที่เป็นของทายาทเอง จะไม่ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับการชำระหนี้มรดก

วางแผนทรัพย์สินอย่างไรไม่ให้กลายเป็นหนี้มรดก
การวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ถือเป็นเรื่องที่ดีเสมอ เพราะจะได้ไม่มีหนี้มรดกเป็นภาระให้กับลูกหลานในอนาคต ตัวอย่างเช่น การทำประกัน
สินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัย MRTA ประกันประเภทนี้จะคุ้มครองความเสี่ยงให้กับผู้กู้ในระยะเวลาที่ผู้กู้ผ่อนชำระสินเชื่ออยู่นั่นเอง ในกรณีที่ผู้ผ่อนชำระเกิดเสียชีวิตขึ้นมาบริษัทผู้รับประกัน MRTA นี่แหละจะเป็นด่านแรกที่จะคุ้มครองไม่ให้หนี้บ้านตกไปสู่ทายาท โดยที่บริษัทที่ไปทำประกันด้วยนั้นจะรับผิดชอบในการชำระหนี้ที่เหลือแทนทายาท คนข้างหลังก็จะไม่ต้องมีภาระผ่อนบ้านต่อ ซึ่งจำนวนเงินเอาประกัน MRTA จะค่อย ๆ ลดลงตามยอดคงค้างเงินกู้ ณ ขณะนั้นจากการชำระหนี้ในแต่ละงวด ดังนั้นเมื่อครบกำหนดสัญญาจำนวนเงินเอาประกันก็จะหมดไป
ดังนั้นเมื่อทายาทได้รับมรดกต้องตระหนักถึงเรื่องหนี้ และการเสียภาษีที่จะตามมาด้วย ทายาทจึงควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามรดกที่ได้มานั้นมีทรัพย์สินประเภทไหนบ้าง มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท หรือไม่ และมีหนี้สินอะไรบ้างที่ต้องชำระ ซึ่งหนี้มรดกส่วนนี้ก็ควรที่จะแจกแจงให้กับครอบครัวทราบด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งกันเมื่อต้องทำการแบ่งมรดก หากใครเจอปัญหานี้อยู่ก็สามารถเอาเรื่องราวดี ๆ ในบทความนี้ไปลองปรับใช้กันดู จะได้หมดปัญหาทะเลาะกันในวันที่คนรักเราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว