สุขภาพดีเริ่มต้นได้จากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ทำได้จริง ผมขอแบ่งปันประสบการณ์ตรงในการดูแลตัวเอง ทั้งการปรับพฤติกรรม การเลือกกิน และการใช้ชีวิตที่สมดุล และการออกกำลังกาย พร้อม 15 วิธีง่าย ๆ ที่ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หากคุณกำลังมองหาจุดเริ่มต้นเพื่อมีสุขภาพที่ดี บทความนี้คือคำตอบ
1. การเลือกรับประทานอาหาร
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกาย การจะเกิดผลดีหรือผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมถูกหลักวิธีการดูแลสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายนำไปพัฒนาและซ่อมแซมในส่วนต่าง ๆ เพราะสุขภาพดีสร้างได้ เพียงแค่เราเริ่มเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และลดอาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น ของทอด ปิ้ง-ย่าง หรืออาหารที่มีไขมันเยอะ เพราะถ้าหากร่างกายเผาผลาญไม่หมดก็จะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ทางที่ดีควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ตามแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีด้วย
2. บริหารสมอง
การบริหารสมองก็เป็น 1 ใน 15 วิธีการดูแลสุขภาพที่จะเป็นแนวทางการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้ หากลองหาเกมฝึกสมองมาเล่น เช่น เกมอักษรไขว้ เกมจำตำแหน่งภาพ เกมจับผิด เกมซูโดกุ หรือเกมหมากรุกจีน นอกจากนี้ควรหันมารับประทานผลไม้พวก ส้ม องุ่น เบอร์รี่ให้มากขึ้นด้วย เพราะผลไม้จำพวกนี้มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการหลง ๆ ลืม ๆ หรือการหัวเราะก็เป็นอีกวิธีดูแลสุขภาพที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีในระบบประสาทที่ทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลดีทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังทำให้คนรอบข้างมีความสุขตามไปด้วย
3. พักสายตาจากการเสพสื่อโซเชียล
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนหรือทำอะไรก็ต้องถ่ายรูป และแชร์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อไม่ให้พลาดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ซึ่งถ้าใช้สายตาในปริมาณที่เหมาะสมก็จะให้ผลดีแก่เรา แต่ถ้าใช้สายตามากเกินไปนอกจากจะทำให้เป็นคนติดโซเชียลแล้ว ยังอาจทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเมื่อยล้าหรือตาแห้งเพราะต้องคอยจ้องอยู่ที่หน้าจอเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการเบลอ สายตาพร่ามัวหรือสายตาสั้นได้ ทางที่ดีควรพักสายตา และบริหารดวงตาของเราด้วย เช่น กะพริบตา กลอกตาไปมาเพื่อป้องกันตาแห้งหรือมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกล ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายดวงตาลงได้ และถ้าลดการเสพสื่อโซเชียลลงบ้าง ก็จะทำให้ไม่ต้องเครียดจากการเสพข่าวและทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น
4. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็น 1 ใน 15 วิธีแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี แม้การออกกำลังกายอาจจะเป็นวิธีดูแลสุขภาพที่ยากที่สุดของใครหลาย ๆ คน แต่การออกกำลังกายมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด เพราะนอกจากจะได้สุขภาพที่ดีแล้ว อวัยวะภายในร่างกายยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้เรามีภูมิต้านทานห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย จึงควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีหลังเลิกงาน ลองเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน วิ่ง หรือทำแอโรบิคก็ได้ ทั้งหมดนี้ช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีทั้งนั้น แต่หากใครไม่มีเวลาออกกำลังกายจริง ๆ การทำงานบ้านก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน เช่น ทำสวน กวาดบ้าน ถูบ้านหรือการล้างรถ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ไม่เพียงแต่เป็นการดูแลสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังทำให้บ้านสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
สุขภาพดีสร้างได้ง่าย ๆ เพียงแค่เรานอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดังนั้นวิธีดูแลสุขภาพ ที่ดีที่สุด เมื่อทำกิจวัตรต่าง ๆ ในแต่ละวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอน เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ควรนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงและนอนให้เป็นเวลา เพราะหากนอนดึกเกินไป ร่างกายอาจเหนื่อยล้าได้ อีกทั้งยังมีผลเสียตามมา เช่น มีริ้วรอย เสี่ยงต่อโรคภัยต่าง ๆ ทางที่ดีควร
พักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ร่างกายจะได้สดชื่นและตื่นตัวตลอดทั้งวัน สุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปด้วย
6. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
การดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้วจะช่วยรักษาสมดุลการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหารและการเผาผลาญ ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณ เส้นผม และเล็บมีสุขภาพดี ไม่แห้งกร้าน นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจนำไปสู่อาการอ่อนเพลียและปวดศีรษะได้
7. ฝึกทำสมาธิและจัดการความเครียดให้ดี
การทำสมาธิเป็นประจำจะช่วยให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และสร้างสมดุลทางอารมณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความดันโลหิต และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้อีกด้วย
8. ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อการมีสุขอนามัยที่ดี
มือของเราสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ มากมายในแต่ละวัน ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว การล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ จึงเป็นวิธีดูแลสุขภาพที่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังจากกลับมาจากข้างนอก
9. ใส่หน้ากากอนามัยเวลาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
เมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น บนรถไฟฟ้า หรือรถโดยสารประจำทาง การสวมหน้ากากอนามัยยังคงเป็นวิธีดูแลตัวเองที่แนะนำ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคระบาดเท่านั้น แต่ยังช่วยกรองฝุ่นละออง และมลภาวะในอากาศได้อีกด้วย
10. งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่เป็นประจำ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคตับแข็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคมะเร็ง ดังนั้น การตัดสินใจลด ละ เลิก สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาวที่คุ้มค่าที่สุด
11. รับประทานอาหารเสริมที่จำเป็น
แม้ว่าการรับประทานอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในบางครั้งร่างกายอาจยังต้องการวิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิดเพิ่มเติม การรับประทานอาหารเสริมจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของวิธีดูแลสุขภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเลือกรับประทานอาหารเสริมชนิดใด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อเลือกให้เหมาะสมกับร่างกายและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับในปริมาณที่มากเกินไป
12. ฉีดวัคซีนประจำปีให้ครบ
การฉีดวัคซีนถือเป็นการส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เพราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และลดความรุนแรงของโรคต่าง ๆ ได้ การเข้ารับการฉีดวัคซีนที่จำเป็นตามคำแนะนำของแพทย์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ควรฉีดเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการ
ดูแลสุขภาพหน้าหนาว และป้องกันการเจ็บป่วยตามฤดูกาลนั่นเอง
13. ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ
การเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เป็นวิธีดูแลสุขภาพที่จะทำให้เรารู้เท่าทันสภาพร่างกายของตนเอง เพราะโรคร้ายบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้ ดังนั้น อย่าลังเลที่จะจัดสรรเวลาเพื่อไปตรวจเช็กสุขภาพของตัวเองเป็นประจำทุกปี
14. หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ
นอกเหนือจากการจัดเวลาเพื่อออกกำลังกายโดยเฉพาะแล้ว การหมั่นเคลื่อนไหวร่างกายในระหว่างวันก็เป็นวิธีดูแลตัวเองที่สำคัญไม่แพ้กัน สำหรับผู้ที่ทำงานในออฟฟิศ หรือต้องนั่งเป็นเวลานาน ควรลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย เปลี่ยนอิริยาบถ หรือเดินไปมาทุก ๆ ชั่วโมง การเลือกเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือเดินไปร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ แทนการใช้รถ ก็ช่วยให้ร่างกายได้ขยับ และเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน และออฟฟิศซินโดรมได้อีกด้วย
15. ทำงานอดิเรกที่ชอบ เพื่อผ่อนคลายความเครียด
การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องของร่างกาย แต่ยังรวมถึงสุขภาพจิตใจด้วย การหาเวลาทำกิจกรรม หรืองานอดิเรกที่ชอบเป็นประจำ คือวิธีการดูแลตัวเองที่ช่วยเติมเต็มความสุข และผ่อนคลายความตึงเครียดจากชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเบิกบาน และเป็นเกราะป้องกันความเครียดได้อย่างดีเยี่ยม
เคล็ดไม่ลับ วิธีดูแลสุขภาพร่างกายในแต่ละช่วงวัยให้แข็งแรง
นอกจากการดูแลสุขภาพโดยรวมแล้ว การดูแลสุขภาพในแต่ละช่วงวัยก็มีความสำคัญ และมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป เพื่อให้การส่งเสริมสุขภาพมีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกช่วงของชีวิต
การดูแลสุขภาพในช่วงอายุ 1 - 4 ปี
วัยนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการวางรากฐานพัฒนาการทั้งทางร่างกาย และสติปัญญา การดูแลสุขภาพจึงเน้นไปที่การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
- ส่งเสริมการเคลื่อนไหว และทักษะสังคม : การให้เด็กได้วิ่งเล่นในสนามเด็กเล่น หรือสวนสาธารณะ จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ และเรียนรู้การเข้าสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกัน
- จำกัดเวลาหน้าจอ : ควรหลีกเลี่ยงการให้เด็กเล็กอยู่กับสมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ตนานเกินไป เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ผ่านการเล่น และการมีปฏิสัมพันธ์จริง
- นอนหลับให้เพียงพอ : การนอนคือช่วงเวลาที่ร่างกาย และสมองของเด็กจะเติบโต และพัฒนาได้อย่างเต็มที่
- ดูแลความปลอดภัยใกล้ชิด : เด็กวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นสูง ผู้ปกครองจึงควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
การดูแลสุขภาพในช่วงอายุ 5 - 12 ปี
วัยเด็กโตเป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ และสร้างนิสัย การปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในช่วงนี้จะส่งผลดีไปจนถึงตอนโต
- สร้างนิสัยการกินที่ดี : สอนให้เด็กรู้จักประโยชน์ของอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีน พร้อมทั้งจำกัดการบริโภคขนมกรุบกรอบและน้ำอัดลม
- กระตุ้นการออกกำลังกาย : ส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรงและปลูกฝังวินัย
- สอนทักษะการใช้สื่ออย่างปลอดภัย : เมื่อเด็กเริ่มใช้สื่อออนไลน์ ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำในการคัดกรองเนื้อหาที่เหมาะสม และรู้เท่าทันภัยบนโลกไซเบอร์
- ปลูกฝังจิตสำนึกที่ดี : การใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน และให้คำแนะนำที่ดี จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
การดูแลสุขภาพในช่วงอายุ 13 - 19 ปี
วัยรุ่นเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย ฮอร์โมน และความคิด การดูแลสุขภาพจึงต้องอาศัยความเข้าใจ และการสื่อสารที่ดี
- เปิดใจพูดคุยเรื่องสุขภาพ : ผู้ปกครองควรเปิดใจรับฟัง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับวัยรุ่นได้
- ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ถูกต้อง : การพูดคุยเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการป้องกันโรคติดต่อเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้วัยรุ่นดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง
- ตรวจสุขภาพประจำปี : การพาวัยรุ่นไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ และรับคำปรึกษา จะช่วยให้พวกเขามีแนวทางการดูแลตัวเองที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตน
- สร้างแรงจูงใจในการดูแลตัวเอง : การหาแรงบันดาลใจจากครอบครัว หรือจากเป้าหมายของตัวเอง จะช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกภูมิใจ และเต็มใจที่จะดูแลสุขภาพมากขึ้น
การดูแลสุขภาพในช่วงอายุ 20 - 29 ปี
เป็นวัยเริ่มต้นของการทำงาน และสร้างชีวิต การวางรากฐานสุขภาพที่ดีในช่วงนี้จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาว
- สร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ : ควรให้ความสำคัญกับการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับให้มีคุณภาพ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
- ตรวจสุขภาพพื้นฐานเป็นประจำ : ควรเริ่มตรวจสุขภาพประจำปี เช่น ตรวจวัดความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด เพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ
- ฉีดวัคซีนที่จำเป็น : เช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ดูแลสุขภาพผิว : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด และมลภาวะ อาจส่งผลต่อผิวได้ง่าย ควรใส่ใจทำความสะอาดและบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
การดูแลสุขภาพในช่วงอายุ 30 - 39 ปี
วัยนี้มักเป็นช่วงที่ทุ่มเทให้กับการทำงานจนอาจละเลยสุขภาพ การดูแลระบบเผาผลาญ และสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- ใส่ใจระบบเผาผลาญและหัวใจ : ความเครียดสะสม การพักผ่อนน้อย และการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อาจส่งผลต่อระบบเผาผลาญและหลอดเลือด ควรหันมาใส่ใจการกิน และการออกกำลังกายอย่างจริงจัง
- ตรวจคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs ): ควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง
- จัดการสุขภาพจิต : ความเครียดจากงาน และชีวิตส่วนตัวอาจส่งผลกระทบได้ง่าย ควรหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ หรือท่องเที่ยวพักผ่อน
- วางแผนครอบครัว : หากต้องการมีบุตร ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทั้งคู่ เพื่อประเมินความพร้อม และหาปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
การดูแลสุขภาพในช่วงอายุ 40-49 ปี
เป็นวัยที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น การให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพเชิงลึกจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด : ควรเลือกแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และโรคมะเร็งที่พบบ่อย เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูกสำหรับผู้หญิง
- ดูแลสุขภาพกระดูก : ควรเริ่มใส่ใจกับการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
- รักษาวิถีชีวิตสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง : การกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพในวัยนี้
- ปรึกษาแพทย์เมื่อใช้ยา : หากจำเป็นต้องเริ่มใช้ยาใด ๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และสังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การดูแลสุขภาพช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป
วัยสูงอายุต้องการการดูแลที่ใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตที่ดี และป้องกันความเสื่อมของร่างกาย
- ออกกำลังกายอย่างปลอดภัย : ควรเลือกกิจกรรมที่ไม่กระทบกระเทือนข้อต่อมากนัก เช่น การรำไทเก็ก ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เพื่อรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และฝึกการทรงตัว
- ฉีดวัคซีนสำหรับผู้สูงวัย : นอกจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้ว ควรพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมตามคำแนะนำของแพทย์
- ตรวจคัดกรองโรคความเสี่ยงสูง : ควรตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ และตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงตรวจสุขภาพตาและการได้ยินเป็นประจำ
- หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ : หากมีอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก หรือปวดท้อง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อหาสาเหตุ
แค่ปฏิบัติตาม 15 วิธีการดูแลสุขภาพง่าย ๆ แค่นี้ก็ทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้แล้ว อาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย อาจรู้สึกฝืนตัวเองสักนิดในช่วงแรก แต่รับรองได้เลยว่าวิธีดูแลสุขภาพ จะทำให้ความพยายามไม่สูญเปล่าแน่นอน ถือเป็นกำไรเสียด้วยซ้ำ สุขภาพดีสร้างได้ อยากรู้ว่าดีแค่ไหนต้องลอง !