เทศกาลฮาโลวีนอาจมีเรื่องเล่าภูตผีที่น่ากลัว แต่ในโลกดิจิทัลมี “ผี” ที่น่ากลัวยิ่งกว่าซ่อนอยู่ นั่นคือเหล่า Hacker และ Scammer ที่คอยหาโอกาสหลอกลวงเราอยู่เสมอ พวกเขาอาจไม่ได้มาในรูปแบบที่น่ากลัว แต่ใช้วิธีการที่แนบเนียนเพื่อขโมยข้อมูล หรือเงินของเราไปอย่างคาดไม่ถึง บทความนี้ Plearn เพลิน จึงขอเปิดตำราจับผีดิจิทัล ชวนทุกคนมาทำความรู้จักตัวตน กลลวง และวิธีสร้างเกราะป้องกันตัวเองให้ปลอดภัย เพื่อให้คุณใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวมิจฉาชีพออนไลน์
รู้จัก Hacker และ Scammer มีกี่ประเภท?
ในโลกไซเบอร์ ผู้ไม่หวังดีมีหลากหลายรูปแบบ การทำความเข้าใจว่าแฮกเกอร์คืออะไร และมีประเภทไหนบ้าง จะช่วยให้เรารู้เท่าทัน และป้องกันตัวเองได้ถูกวิธี
1. แฮกเกอร์หมวกดำ (Black Hat)
กลุ่มนี้คือ Hacker ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์เพื่อเจาะระบบอย่างผิดกฎหมาย มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลทางการเงิน สร้างความเสียหายให้กับระบบ หรือแม้กระทั่งทำไปเพื่อความสนุกสนานท้าทาย ถือเป็นอาชญากรไซเบอร์ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
2. แฮกเกอร์หมวกขาว (White Hat)
ตรงข้ามกับหมวกดำ White Hat Hacker คือผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ทักษะเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดี หรือที่เรียกว่า “Ethical Hacking” พวกเขาจะได้รับการว่าจ้างจากองค์กรต่าง ๆ ให้ทดลองเจาะระบบของตัวเอง เพื่อค้นหาช่องโหว่หรือจุดอ่อนด้านความปลอดภัย และทำการอุดรอยรั่วนั้นเสียก่อนที่แฮกเกอร์หมวกดำจะค้นพบ
3. สแกมเมอร์ (Scammer)
สแกมเมอร์ คือ กลุ่มมิจฉาชีพที่เน้นการหลอกลวงมากกว่าการใช้เทคนิคเจาะระบบที่ซับซ้อน พวกเขามักสร้างเรื่องราวปลอม ๆ ขึ้นมาเพื่อทำให้เหยื่อหลงเชื่อ และยอมให้ข้อมูลหรือโอนเงินให้เอง เช่น
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการสร้างโปรไฟล์ปลอมเพื่อหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย
4. สคริปต์คิดดี้ส์ (Script kiddy)
Script kiddy คือ กลุ่มที่เปรียบเสมือนแฮกเกอร์มือสมัครเล่น พวกเขาไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ด หรือเจาะระบบด้วยตัวเอง แต่จะนำเครื่องมือ หรือสคริปต์ที่แฮกเกอร์คนอื่นสร้างไว้มาใช้เพื่อโจมตีผู้อื่น ส่วนใหญ่มักทำไปเพื่อความคึกคะนองหรือลองของ แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายได้เช่นกัน
เปิด “กลลวง” ที่ ผี Hacker และ ผี Scammer ใช้หลอกล่อเหยื่อ
เหล่าผู้ไม่หวังดีมักใช้
เทคนิคจิตวิทยา เพื่อสร้างสถานการณ์ที่แนบเนียน ทำให้เราหลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อได้ง่าย มาดู
กลโกงมิจฉาชีพยอดฮิตที่พบบ่อยกัน
Phishing : ผีอำด้วยข้อความแบบเนียน ๆ
เป็นการหลอกลวงโดยการปลอมแปลงเป็นองค์กรหรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ เช่น ธนาคาร บริษัทขนส่ง หรือหน่วยงานราชการ แล้วส่งอีเมล SMS หรือข้อความมาหาเรา โดยเนื้อหามักจะสร้างความรู้สึกเร่งด่วน เช่น “บัญชีของคุณมีปัญหา โปรดคลิกเพื่อยืนยันตัวตน” และแนบลิงก์ปลอมมา เมื่อเราคลิกเข้าไป และกรอกข้อมูล ข้อมูลสำคัญอย่างรหัสผ่านก็จะถูกขโมยไปทันที
Baiting : ผีใช้เหยื่อล่อให้หลงกล
กลวิธีนี้คือการใช้ “เหยื่อล่อ” ที่เล่นกับความอยากได้อยากรู้ หรืออารมณ์ความรู้สึกรุนแรงของคนเรา เพื่อหลอกให้ติดกับ ตัวอย่างที่พบบ่อยคือการเสนอของฟรีที่ดูน่าสนใจ เช่น การแจกแฟลชไดรฟ์ตามงานอีเวนต์ หรือวางทิ้งไว้ในที่สาธารณะ ซึ่งเมื่อเรานำไปเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ มัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ก็จะถูกติดตั้งทันที อีกรูปแบบที่กำลังระบาดในโซเชียลมีเดียคือ “Rage Bait” หรือการสร้างเนื้อหาที่จงใจยั่วยุให้คนโกรธ หรือรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแชร์และแสดงความคิดเห็น เมื่อเรามีอารมณ์ร่วมสูง อาจเผลอคลิกลิงก์อันตรายที่แฝงมากับโพสต์นั้น หรือถูกหลอกให้ให้ข้อมูลส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว
Scareware : ผีหลอกให้ตกใจ
เป็นการใช้ความกลัวเพื่อบีบให้เราทำตามที่ต้องการ เช่น มีหน้าต่าง Pop-up แจ้งเตือนปลอมเด้งขึ้นมาขณะใช้งานอินเทอร์เน็ตว่า “คอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัสร้ายแรง ! โปรดดาวน์โหลดโปรแกรมนี้เพื่อกำจัดทันที” ซึ่งโปรแกรมที่ให้ดาวน์โหลดนั้นคือไวรัส หรือมัลแวร์นั่นเอง
Pretexting : ผีปลอมตัว
เป็นการที่มิจฉาชีพสร้างเรื่องราวหรือสถานการณ์ปลอม ๆ ขึ้นมา โดยสวมรอยเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือเพื่อหลอกให้เราตายใจ และยอมเปิดเผยข้อมูลสำคัญด้วยตัวเอง เช่น การโทรศัพท์มาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคาร แจ้งว่าบัญชีของคุณมีปัญหาการใช้งาน หรือตรวจพบรายการน่าสงสัย และต้องการให้คุณยืนยันตัวตนด้วยเลขบัตรประชาชน หรือรหัส OTP เพื่อทำการแก้ไข หรืออาจมาในรูปแบบที่น่ากลัวกว่านั้น โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่าคุณมีส่วนพัวพันกับคดีร้ายแรง และใช้จิตวิทยาข่มขู่ให้คุณโอนเงินเพื่อตรวจสอบ หรือให้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
วิธีสร้างเกราะป้องกัน รับมือ Hacker และ Scammer
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสร้างเกราะป้องกันดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้ตัวเอง ซึ่งทำได้ไม่ยากด้วยวิธีพื้นฐานแต่ได้ผลเหล่านี้
1. ตั้งรหัสผ่านป้องกันที่ซับซ้อน
หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านที่เดาง่ายอย่างวันเกิด เบอร์โทรศัพท์ หรือคำศัพท์ทั่วไป ควรตั้งรหัสผ่านให้มีความยาวอย่างน้อย 8-12 ตัวอักษร และผสมผสานระหว่างตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ ที่สำคัญคือควรเปลี่ยนรหัสผ่านทุก ๆ 3-6 เดือน
2. เปิดใช้เกราะ 2 ชั้น (Two-Factor Authentication - 2FA)
2FA คือ การยืนยันตัวตนสองชั้น เป็นปราการด่านสำคัญที่แม้แฮกเกอร์จะรู้รหัสผ่านของเรา แต่ก็ยังไม่สามารถล็อกอินเข้าบัญชีได้ เพราะต้องใช้รหัส OTP (One-Time Password) ที่ส่งมายังโทรศัพท์มือถือของเราอีกชั้นหนึ่ง
ตัวอย่างการเปิดใช้งาน 2FA บน Facebook
- ไปที่ “การตั้งค่า และความเป็นส่วนตัว” จากนั้นเลือก “การตั้งค่า”
- คลิก “ศูนย์บัญชี” แล้วไปที่ “รหัสผ่าน และการรักษาความปลอดภัย”
- กดที่ “การยืนยันตัวตนแบบสองชั้น” และเลือกบัญชีที่คุณต้องการเปิดใช้งาน
- เลือกวิธีการยืนยันตัวตนที่คุณต้องการ เช่น การรับรหัสผ่านแอปยืนยันตัวตน หรือการรับรหัสทางข้อความ SMS และทำตามคำแนะนำบนหน้าจอ
3. มีสติ คิดก่อนคลิกเสมอ
ก่อนจะคลิกลิงก์ใด ๆ หรือดาวน์โหลดไฟล์จากอีเมล และข้อความที่ไม่คุ้นเคย ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ใจเสมอ หากไม่มั่นใจ อย่าคลิกเด็ดขาด การตั้งคำถาม และมีสติอยู่เสมอคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
4. อัปเดตซอฟต์แวร์เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ (Windows, iOS, Android) หรือโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ควรหมั่นอัปเดตให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ เพราะการอัปเดตแต่ละครั้งมักจะมีการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่ถูกค้นพบ หากเราไม่ยอมอัปเดต ก็เปรียบเสมือนการเปิดประตูทิ้งไว้ให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาโจมตีได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างสถานการณ์จริง ถ้าเจอแบบนี้...จะรับมืออย่างไร ?
แม้เราจะป้องกันตัวดีแค่ไหน แต่บางครั้งความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นได้ ลองมาดูสถานการณ์จำลองที่พบบ่อย พร้อมวิธีรับมือที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณจัดการปัญหาได้อย่างทันท่วงที
ถ้าเผลอกดลิงก์ไปแล้ว ต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก ?
ตั้งสติก่อน แล้วทำตามขั้นตอนเหล่านี้ทันที
- ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ปิด Wi-Fi/Cellular) เพื่อหยุดการสื่อสารของมัลแวร์
- สแกนไวรัสในอุปกรณ์ของคุณ
- รีบเปลี่ยนรหัสผ่านของทุกบัญชีที่สำคัญทันที โดยเฉพาะอีเมล โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันธนาคาร
นั่งทำงานร้านกาแฟ ใช้ Wi-Fi ฟรี จะเสี่ยงไหม ?
มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะเปรียบเสมือนประตูที่ไม่ได้ล็อก ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้ามาดักจับข้อมูลของคุณได้ง่าย ๆ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมการเงิน หรือล็อกอินบัญชีสำคัญ หากจำเป็นต้องใช้งานจริง ๆ ควรใช้อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ตโฟนของตัวเองก็จะดีที่สุด
มีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง ที่บอกว่าบัญชีโซเชียลมีเดียถูกแฮก ?
ให้คอยสังเกตสัญญาณอันตรายเหล่านี้ หากพบข้อใดข้อหนึ่ง ควรรีบตรวจสอบ และแก้ไขทันที
- มีกิจกรรมที่เราไม่ได้ทำ เช่น มีการโพสต์ข้อความ กดไลก์เพจ หรือส่งข้อความหาเพื่อนที่คุณไม่ได้เป็นคนส่งเอง
- ได้รับการแจ้งเตือนแปลก ๆ เช่น มีอีเมลแจ้งเตือนการพยายามล็อกอินจากสถานที่ หรืออุปกรณ์ที่ไม่คุ้นเคย
- เพื่อนของคุณแจ้งว่าได้รับข้อความแปลก ๆ จากคุณ เช่น ข้อความชวนลงทุน หรือขอยืมเงิน
สรุปบทความ
การรับมือกับแฮกเกอร์ และสแกมเมอร์อาจดูเป็นเรื่องน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ซับซ้อนเกินกว่าจะป้องกันได้ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่า ภัยคุกคามเหล่านี้มีรูปแบบ และกลวิธีที่คาดเดาได้ การสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งด้วยรหัสผ่านที่ซับซ้อน การเปิดใช้ 2FA และการอัปเดตซอฟต์แวร์อยู่เสมอ ผสานกับการมี “สติ” และ “คิดก่อนคลิก” ทุกครั้ง จะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่ช่วยให้คุณท่องโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย และมั่นใจ ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลลวงจากเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีนั่นเอง
อ้างอิง