หลายคนอาจคิดว่า “เงินเดือนออกก็โดนหักภาษีไปแล้วนี่ ทำไมต้องรู้วิธีคำนวณภาษีขั้นบันไดด้วยนะ ?” จริงอยู่ว่าบริษัทหักภาษีของเราไปแล้ว แต่ถ้าเรารู้หลักการคำนวณไว้บ้าง เราจะสามารถตรวจสอบได้ว่าตัวเลขในใบหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ถูกต้องหรือไม่ ไม่ต้องนั่ง งง ตอนปลายปี หรือ เจอเซอร์ไพรส์ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มก้อนใหญ่
Krungsri The COACH จะพาไปดูวิธีคำนวณภาษีขั้นบันไดแบบง่าย ๆ ยิ่งเงินเดือนสูงขึ้น ฐานภาษีก็จะสูงตามไปด้วย เสมือนการเดินขึ้นบันไดไปแต่ละขั้น พร้อมวิธีรับมือเมื่อมีรายได้ที่สูงขึ้นลดหย่อนภาษีได้อย่างชาญฉลาด ทำให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นว่าในแต่ละปีเราต้องเสียภาษีเท่าไร และ
วางแผนลดหย่อนภาษีได้ดียิ่งขึ้น
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีกี่แบบ ?
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ 2 รูปแบบ คือ วิธีคำนวณภาษีขั้นบันได และวิธีคำนวณภาษีแบบเหมาจ่าย ซึ่งทั้ง 2 วิธีมีสูตรการคำนวณที่แตกต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับที่มาของรายได้ที่ต่างกัน
วิธีที่ 1 การคำนวณภาษีแบบเหมาจ่าย
เป็นวิธีคำนวณภาษีสำหรับคนที่มีรายได้จากแหล่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน เช่น รายได้จากงานฟรีแลนซ์ ค่าเช่า ค่าขายลิขสิทธิ์ หรือรายได้จากวิชาชีพอิสระ และเมื่อรวมกันแล้วจะต้องเกิน 1,000,000 บาทขึ้นไป โดยจะคำนวณในอัตราร้อยละ 0.5 ของเงินได้ทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินเดือน
- สูตรคำนวณ : (รายได้ทุกประเภทยกเว้นเงินเดือน) x 0.005 = ภาษีที่ต้องชำระ
อย่างไรก็ตาม
ถ้าคำนวณแล้วได้ค่าภาษีไม่เกิน 5,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษีในส่วนนี้
วิธีที่ 2 การคำนวณภาษีแบบขั้นบันได
เป็นวิธีคำนวณภาษีขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน หรือผู้มีรายได้จากการจ้างงานเป็นหลัก โดยเราจะนำ “เงินได้สุทธิ” (รายได้ทั้งหมด หลักหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน) มาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่กำหนดเป็นขั้นบันได ยิ่งเรามีเงินได้สุทธิสูงเท่าไร อัตราภาษีที่ต้องเสียก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
เลือกคำนวณภาษีด้วยวิธีไหนดี ?
มาถึงคำถามสำคัญว่า แล้วเราควรเลือกคำนวณภาษีด้วยวิธีไหนดี ? คำตอบคือ
เราไม่สามารถเลือกได้ แต่ต้องดูตามประเภทของรายได้ที่มีเป็นหลัก โดยมีหลักเกณฑ์ง่าย ๆ คือ สำหรับผู้มีรายได้ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือนเกิน 1 ล้านบาท กฎหมายกำหนดให้คุณต้องคำนวณภาษีทั้ง 2 วิธี แล้วนำยอดภาษีที่คำนวณได้มาเปรียบเทียบกัน โดยให้ชำระภาษีจากวิธีที่คำนวณได้ยอดสูงกว่า
ส่วนผู้ที่มีเงินเดือนเพียงอย่างเดียว หรือมีรายได้อื่น ๆ ไม่ถึงเกณฑ์ ก็ให้ใช้วิธีที่ 2 คือการคำนวณภาษีแบบขั้นบันไดเพียงวิธีเดียว กล่าวโดยสรุปคือ การคำนวณแบบเหมาจ่าย 0.5% มีไว้เพื่อเป็นฐานภาษีขั้นต่ำสำหรับผู้มีรายได้สูงจากแหล่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน เพื่อให้การเสียภาษีเป็นไปอย่างเป็นธรรม และครอบคลุมนั่นเอง
5 ขั้นตอนคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได
สำหรับชาวออฟฟิศที่อยากเข้าใจการคำนวณภาษีเงินได้แบบขั้นบันไดให้มากขึ้น Krungsri The COACH ได้สรุป 5 ขั้นตอนคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได มาให้แล้ว ลองทำตามไปทีละสเต็ป รับรองว่าคุณจะเห็นภาพชัดขึ้นทันทีว่าต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และมีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้นได้ยังไง
ขั้นตอนที่ 1 : สรุปรายได้ตลอดทั้งปีของตัวเอง
ให้คุณรวบรวมรายได้ทุกประเภทที่ได้รับตลอดทั้งปีภาษีที่ต้องจ่าย เช่น ถ้าต้องยื่นภาษีปี 2568 ให้รวบรวมรายได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 - 31 ธันวาคม 2568 ให้เรียบร้อย และต้องตรวจสอบเอกสารแสดงรายได้อย่างใบ 50 ทวิ หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ถูกต้องด้วย
ตัวอย่างรายได้ที่ต้องเสียภาษี
- เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง และโบนัส
- เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ให้
- รายได้จากงานฟรีแลนซ์ หรือวิชาชีพอิสระ
- เงินได้จากทรัพย์สิน เช่น ค่าเช่าบ้าน
- เงินได้จากการลงทุน เช่น เงินปันผล (สามารถเลือกยื่น หรือไม่ยื่นรวมก็ได้)
ขั้นตอนที่ 2 : เช็กรายการลดหย่อนภาษีที่ตัวเองมี
หลังจากทราบรายได้ทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปให้รวบรวมรายการลดหย่อนภาษีที่ตนเองมีทั้งหมด เพื่อนำไปหักลบกับเงินได้ ซึ่งจะช่วยให้เงินได้สุทธิของเราลดลง และเสียภาษีน้อยลงตามไปด้วย
ตัวอย่างรายการลดหย่อนภาษี 2568
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้) 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 - 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา (ที่อายุเกิน 60 ปี) คนละ 30,000 บาท
- ค่าลดหย่อนผู้พิการ หรือทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท
- ค่าฝากครรภ์ และทำคลอด จ่ายตามจริงไม่เกินท้องละ 60,000 บาท
- เงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท
- เบี้ยประกันชีวิต และประกันสะสมทรัพย์ ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 100,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพของตัวเอง ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าซื้อกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ Thai ESGX ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 300,000 บาท
- ค่าลดหย่อนจากการสับเปลี่ยนกองทุน LTF ไปที่ Thai ESGX ไม่เกิน 500,000 บาท โดยในปี 2568 จะลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งไปลดหย่อนในปีถัด ๆ ไป ปีละ 50,000 บาท
- ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 (2568) จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
ขั้นตอนที่ 3 : คำนวณเงินได้สุทธิของตัวเอง
ให้นำตัวแรกจากข้อแรกมาเข้าสูตรคำนวณ เพื่อหา “เงินได้สุทธิ” ซึ่งเป็นฐานที่แท้จริงในการคำนวณภาษี
- สูตรคำนวณ : เงินได้ทั้งปี - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
- หมายเหตุ : สำหรับผู้มีเงินได้ประเภทเงินเดือน สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
ขั้นตอนที่ 4 : เช็กขั้นบันไดภาษีของตัวเอง
เมื่อได้จำนวนเงินได้สุทธิแล้ว ให้นำตัวเลขดังกล่าวไปเทียบกับตารางอัตราภาษีขั้นบันได เพื่อดูว่าเงินได้ของเราตกอยู่ในขั้นไหน และจะต้องเสียภาษีในอัตราเท่าไรบ้าง
ตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได ปี 2568
5. คำนวณภาษีขั้นบันไดของตัวเองได้เลย
ขั้นตอนสุดท้ายคือ การคำนวณจำนวนภาษีที่ต้องชำระจริง โดยนำเงินได้สุทธิในแต่ละขั้นมาคูณกับอัตราภาษีของขั้นบันไดนั้น ๆ แล้วนำผลลัพธ์ของทุกขั้นมารวมกัน
ตัวอย่าง : นาย A มีเงินเดือน 50,000 บาท/เดือน (รายได้ทั้งปี 600,000 บาท) มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และประกันสังคม 9,000 บาท สามารถคำนวณภาษีแบบอัตราขั้นบันไดได้ดังนี้
- เงินได้ทั้งปี : 600,000 บาท
- หักค่าใช้จ่าย : 100,000 บาท (50% ของ 600,000 คือ 300,000 แต่หักได้สูงสุด 100,000)
- หักค่าลดหย่อน : 60,000 (ส่วนตัว) + 9,000 (ประกันสังคม) = 69,000 บาท
- เงินได้สุทธิ : 600,000 - 100,000 - 69,000 = 431,000 บาท
- คำนวณภาษี :
- ขั้นที่ 1 (0 - 150,000) : ได้รับการยกเว้น = 0 บาท
- ขั้นที่ 2 (150,001 - 300,000) : (300,000 - 150,000) x 5% = 7,500 บาท
- ขั้นที่ 3 (300,001 - 500,000) : (431,000 - 300,000) x 10% = 13,100 บาท
- รวมภาษีที่ต้องชำระ : 0 + 7,500 + 13,100 = 20,600 บาท
เงินเดือนเท่านี้ ต้องเสียภาษีเท่าไร ?
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราได้คำนวณภาษีเบื้องต้นสำหรับมนุษย์เงินเดือนในแต่ฐานเงินเดือนมาให้แล้ว โดยจะมีการหักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และลดหย่อนภาษีพื้นฐาน (ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และประกันสังคม 9,000 บาท) ไปแล้ว ได้จำนวนภาษีที่ต้องจ่ายดังนี้
หมายเหตุ : จำนวนภาษีที่ต้องชำระจริงอาจน้อยลง หากคุณมีสิทธิลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ค่าลดหย่อนบุตร/บิดามารดา, เบี้ยประกัน, กองทุน SSF/RMF, หรือดอกเบี้ยบ้าน เป็นต้น
FAQs รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการคำนวณภาษีขั้นบันได
นอกจากวิธีคำนวณภาษีแบบขั้นไดแล้ว เรายังได้รวมคำถามที่คนส่วนใหญ่สงสัยเกี่ยวกับการคำนวณภาษีเงินได้แบบขั้นบันได พร้อมคำตอบมาให้ด้วย
ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษี ?
ผู้มีเงินได้ทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี หากมีเงินได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้ว่าจะเสียภาษี หรือไม่เสียภาษีก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น
- คนโสดที่มีรายได้เป็นเงินเดือน ตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี ส่วนคนที่สมรสแล้ว จะต้องมีรายได้ที่เป็นเงินเดือน ตั้งแต่ 18,333 บาท ต่อเดือน หรือ 220,000 บาทต่อปี
- คนโสดที่มีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน ตั้งแต่ 5,000 บาทต่อเดือน หรือ 60,000 บาทต่อปี ส่วนคนที่สมรสแล้ว จะต้องมีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน ตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี
บุคคลธรรมดาต้องยื่นแบบภาษีเมื่อไร ?
โดยปกติแล้ว การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) สำหรับปีภาษี 2568 จะต้องยื่นภายในวันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม พ.ศ. 2569 ซึ่งการยื่นผ่านช่องทางออนไลน์ อาจได้รับการขยายเวลาออกไปอีก
สามารถยื่นภาษีออนไลน์ 2568 ได้ที่ไหน ?
สามารถ
ยื่นภาษีผ่านระบบออนไลน์ E-Filing ของกรมสรรพากรได้เลย มีข้อดีตรงที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ง่าย
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับยื่นภาษี มีอะไรบ้าง ?
ก่อนยื่นภาษี ควรเตรียมเอกสารสำคัญเหล่านี้ให้พร้อม เพื่อความรวดเร็ว และถูกต้องในการกรอกข้อมูล
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ)
- เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษี เช่น ใบรับรองการซื้อหน่วยลงทุน SSF/RMF/Thai ESG, หนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกัน, ใบเสร็จรับเงินบริจาค
- เอกสารเกี่ยวกับรายได้อื่น ๆ (ถ้ามี)
Krungsri The COACH แนะนำ : ทริควางแผนจัดการภาษี พร้อมรับมือเมื่อรายได้สูงขึ้น
เมื่อรายได้สูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือฐานภาษีขั้นบันไดที่สูงขึ้นด้วย กลยุทธ์ที่สำคัญคือการตรวจสอบว่า “เงินได้สุทธิ” ของเราอยู่ใกล้เพดานของขั้นภาษีใดหรือไม่ เช่น หากเงินได้สุทธิของคุณอยู่ที่ 510,000 บาท นั่นหมายความว่ามีเงิน 10,000 บาทที่ถูกนำไปคำนวณในอัตราภาษี 15% แทนที่จะเป็น 10%
หากคุณสามารถหาค่าลดหย่อนเพิ่มอีกเพียง 10,001 บาท (เช่น ซื้อกองทุน SSF, RMF หรือ Thai ESG) เพื่อดึงเงินได้สุทธิให้กลับลงมาต่ำกว่า 500,000 บาทได้ จะช่วยให้ประหยัดภาษีได้มาก ดังนั้นการวางแผนซื้อผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีโดยอิงจากขั้นบันไดของตัวเอง จึงเป็นวิธีรับมือภาษีเมื่อรายได้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
สำหรับใครที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี หรืออยากได้
ผู้ช่วยวางแผนภาษีอย่างยั่งยืน สามารถติดต่อทีมที่ปรึกษาด้านการลงทุน ผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่
02-296-5959 จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น.- 17.00 น. หรือ
กรอกฟอร์มให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้เลย
การทำความเข้าใจวิธีคำนวณภาษีขั้นบันได ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารการเงินส่วนบุคคล ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมภาระภาษีของตนเอง และสามารถวางแผนเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มที่ เมื่อรายได้ของคุณเพิ่มขึ้น การวางแผนภาษีล่วงหน้าจะยิ่งทวีความสำคัญ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง