กำลังวางแผนจะซื้อบ้านใหม่ไปพร้อม ๆ กับการหาข้อมูลการขอสินเชื่อบ้านอยู่หรือเปล่า?
สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งจะตัดสินใจซื้อบ้านหลังแรก คอนโดห้องแรก และกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการขอสินเชื่อบ้านอยู่ อาจจะเคยเห็นหรือเคยได้ยินคำว่า MLR และ MRR ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง ซึ่งก็คืออัตราดอกเบี้ยบ้านที่จะเกิดขึ้นเมื่อยื่นเรื่องขอกู้เงินธนาคารมาซื้อบ้านซึ่งก่อนที่เราจะไปยื่นขอสินเชื่อบ้าน เราควรศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อผลประโยชน์ของผู้ขอสินเชื่อเอง
ดอกเบี้ยเงินกู้ มีกี่ประเภท
ดอกเบี้ยเงินกู้ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate)
อัตราดอกเบี้ยจะถูกกำหนดไว้เป็นตัวเลขเฉพาะ ไม่มีการขยับขึ้นหรือลดลง โดยจะคงที่ตลอดสัญญาอายุเงินกู้หรือในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น สมมติว่า ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5 % ต่อปี เราต้องผ่อนทั้งหมด 10 ปี เท่ากับว่า เราต้องผ่อนที่ 5% ตลอดระยะเวลา 10 ปีครับ
2. อัตราเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate)
ดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการลงทุนของสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้ ซึ่งผู้ให้กู้จะประกาศออกมาเป็นระยะ ซึ่ง MLR และ MRR ถูกจัดอยู่ในประเภทอัตราเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate) แต่มีความแตกต่างกัน
MLR คืออะไร
MLR ย่อมาจาก Minimum Loan Rate คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจาก “ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี” เช่น มีประวัติการเงินที่ดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างเพียงพอ ส่วนใหญ่ใช้กับ “เงินกู้ระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน”
MRR คืออะไร
MRR ย่อมาจาก Minimum Retail Rate อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจาก “ลูกค้ารายย่อยชั้นดี” เช่น
สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย
ถ้าถามว่าขอสินเชื่อบ้านกับสถาบันทางการเงินไหนดีที่สุด ต้องบอกก่อนเลยว่าเราคงไม่สามารถชี้ขาดกันได้ครับ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับ
แผนการเงินของเราเอง อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำทุกครั้งเมื่อขอสินเชื่อบ้านคือ การตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยบ้านเงินกู้ของสถาบันทางการเงินแต่ละแห่งในเว็บไซต์ของแต่ละที่ หรือเว็บไซต์
www.bot.or.th หรือสำรวจตามงาน Expo ต่าง ๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เราควรใช้ความละเอียดรอบคอบในการตัดสินใจ และควรเลือกสถาบันการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความสามารถในการผ่อนชำระในแต่ละเดือน มิฉะนั้นจะมีภาระทางการเงินที่ตึงจนทำให้ชีวิตลำบากไปหลายปี
การพิจารณาว่าเราควรขอสินเชื่อบ้านที่ไหนดีสุด ควรเริ่มจากการดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งเปรียบเทียบกัน พร้อมกับดูความผันผวนของ “อัตราดอกเบี้ยย้อนหลัง” โดยควรเลือกประเภทที่มีความผันผวนน้อย เนื่องจากจะช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการหนี้ได้ง่ายกว่าจากนั้นก็พิจารณาความมั่นคงของสถาบันการเงินแต่ละแห่งเพื่อประกอบการตัดสิน เพียงเท่านี้คุณก็จะได้คำตอบว่าตัวเองควรเลือกขอสินเชื่อบ้านที่ไหนดีในท้ายที่สุดครับ
วิธีคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน
สมมติว่า เราต้องการขอสินเชื่อบ้านในวงเงินกู้ 1,500,000 บาท / MRR 7% ธนาคารกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ว่า
ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.45% ต่อปี = เราต้องจ่ายดอกเบี้ย 81,300 ต่อปี (ในสามปีแรก)
พอปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย = MRR-0.25% มันหมายความยังไงกันนะ?
ฉะนั้นในปีที่ 4 เราจะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ MRR 7% - 0.25% = 6.75% คืออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของปีที่ 4 เป็นต้นไปครับ
6.75% ของ 1,500,000 บาท = เสียดอกเบี้ย 101,250 บาทต่อปี
หรือหากใครไม่แน่ใจ ปัจจุบันมีเครื่องมือออนไลน์ที่จะคอยช่วยคำนวณดอกเบี้ยการขอสินเชื่อบ้าน เช่น เว็บไซต์
thaiinterest ที่เพียงกรอกตัวเลขลงไปแล้วกด “คำนวณ” เครื่องมือนี้ก็จะคำนวณมาให้เราเสร็จสรรพ
ภาพตัวอย่างจากเว็บ Thaiinterest เครื่องมือคำนวณการขอสินเชื่อบ้าน ที่สามารถคำนวณได้ทั้งแบบเงินต้น/ดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) กับแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)
หากกำลังมองหาและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย เพื่อขอสินเชื่อบ้านอยู่
สินเชื่อบ้านกรุงศรี ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจนะครับ เพราะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ได้วงเงินสูงสุด 90 เปอร์เซ็นต์ของราคาประเมิน อนุมัติเร็ว และสามารถผ่อนชำระได้นานสูงสุด 30 ปี มีลักษณะเป็น MRR ซึ่งมีข้อดีคือในช่วงปีที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลดลง จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนชำระถูกลงด้วย
หากสนใจสามารถสมัครได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทุกสาขาทั่วประเทศไทย หรือติดต่อ
ทีมสินเชื่อบ้านกรุงศรีโทรศัพท์ 1572 โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2-7 วัน โดยธนาคารจะวิเคราะห์ผ่านรายได้ ฐานะทางการเงิน ความสามารถในการผ่อนชำระ และหลักประกันต่าง ๆ เมื่อกู้ผ่านก็ถึงเวลาของการตรวจรับงานก่อสร้าง โอนกรรมสิทธิ์พร้อมเข้าอยู่ และเข้าสู่กระบวนการจัดสรรเงินรายเดือนของเราให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยที่ต้องรับผิดชอบต่อไปครับ
ดูรายละเอียดวิธีคำนวณดอกเบี้ยผ่อนบ้านได้เพิ่มเติมที่ลิงก์นี้ครับ
วิธีคำนวณดอกเบี้ยผ่อนบ้านง่าย ๆ
และสำหรับคนที่มีภาระผ่อนบ้านหรือคอนโดอยู่แล้ว วิธีที่จะช่วยเราเซฟเงินจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือการ
รีไฟแนนซ์ซึ่งข้อดี คือ จะช่วยให้เราได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ที่ดีกว่าเดิม บางครั้งอาจได้วงเงินกู้มากขึ้นกว่ายอดคงค้าง ลดภาระหนี้ต่อเดือนลง ทำให้เรามีเงินเหลือในแต่ละเดือนไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้ เช่น นำเงินไปหมุนเวียนธุรกิจ หรือจ่ายค่าติวเตอร์ให้ลูก ฯลฯ
ดูรายละเอียดขั้นตอนการยื่นรีไฟแนนซ์ได้เพิ่มเติมที่ลิงก์นี้ครับ
รีไฟแนนซ์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก
sanook.com,
thairath.co.th