การมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเอง คือหนึ่งในเป้าหมายที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่บางคนกว่าจะมีความพร้อมอายุก็ปาเข้าไป 30 จนถึง 45 ปีแล้ว ทำให้มีคำถามตามมาว่า กู้ซื้อบ้านตอนอายุเกิน 30 ปี แบบนี้จะสายไปหรือยัง ? ในบทความนี้ Krungsri The COACH จะพาคุณมาดู “ปัจจัยหลัก” ที่สำคัญกว่าวัย พร้อมแนะวิธีเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้บ้านหลังแรกไม่ใช่แค่ฝัน แต่เป็นจริงได้ในแบบที่ไหว และมั่นคง
อายุ 30 ขึ้นไป กู้ซื้อบ้านหลังแรกช้าไปไหม ?
ไม่สายเกินไปอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน วัย 30-45 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการกู้ซื้อบ้านหลังแรก เพราะเป็นวัยที่คนส่วนใหญ่เริ่มมีความมั่นคงทั้งในด้านหน้าที่การงาน สถานะทางการเงิน และมีแผนการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณบวกในมุมมองของธนาคาร หากมีการวางแผน และเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี ก็สามารถยื่นขอสินเชื่อบ้านได้อย่างมั่นใจ และมีโอกาสได้รับการอนุมัติสูงอีกด้วย
Checklist 6 ความพร้อมก่อนซื้อบ้านหลังแรก
การจะรู้ว่าเราพร้อมสำหรับบ้านหลังแรกหรือยัง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเพียงอย่างเดียว ลองมาสำรวจความพร้อมของตัวเองผ่านเช็กลิสต์ 6 ข้อสำคัญนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ของตัวเองให้รอบด้านกันก่อน
1. สถานะการเงินมั่นคง มีรายได้สม่ำเสมอ
ธนาคารต้องการความมั่นใจว่าคุณสามารถชำระหนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง ดังนั้น ความมั่นคงทางอาชีพ และรายได้จึงเป็นปัจจัยแรกที่ถูกนำมาพิจารณา สำหรับพนักงานประจำ ควรผ่านช่วงทดลองงาน และมีอายุงานอย่างน้อย 1-2 ปี ส่วนฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการ ควรมีเอกสารแสดงที่มาของรายได้ที่สม่ำเสมอ เช่น รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6-12 เดือน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเพียงพอที่จะรับผิดชอบภาระหนี้ระยะยาวได้
2. มีเงินก้อนสำหรับใช้ดาวน์บ้าน และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
การซื้อบ้านไม่ได้จบแค่การผ่อนชำระ แต่ยังมีค่าใช้จ่ายก้อนแรกที่ต้องเตรียมให้พร้อม โดยทั่วไปควรมีเงินดาวน์อย่างน้อย 10%-20% ของราคาบ้าน เพื่อลดภาระการกู้ และเพิ่มโอกาสอนุมัติ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ในวันโอนกรรมสิทธิ์ เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ และหลังโอนยังมีค่าตกแต่ง ค่าเฟอร์นิเจอร์ และค่าโอนมิเตอร์น้ำ-ไฟอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น หากต้องการซื้อบ้านหลังแรกราคา 2 ล้านบาท ควรมีเงินดาวน์ 200,000–400,000 บาท และสำรองค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไว้อีกราว 60,000–100,000 บาท
3. สามารถผ่อนบ้านได้โดยไม่กระทบการใช้ชีวิตมากเกินไป
ภาระผ่อนบ้านที่ดีไม่ควรทำให้การใช้ชีวิตประจำวันต้องตึงเครียดจนเกินไป ตามหลักการวางแผนการเงิน ค่างวดผ่อนบ้าน และหนี้สินอื่น ๆ รวมกันแล้วไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้คุณยังมีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว เงินออม และเงินสำรองฉุกเฉิน การ
คำนวณเงินก่อนผ่อนบ้าน และประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของตัวเองอย่างสมเหตุสมผล จะช่วยให้การมีบ้านเป็นความสุข ไม่ใช่ภาระที่หนักอึ้งตลอด 20-30 ปีข้างหน้า
4. มีประวัติการเงินดี ไม่มีหนี้เสีย
ประวัติเครดิตบูโร คือภาพสะท้อนวินัยทางการเงินของคุณที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก การมีประวัติชำระหนี้ตรงเวลา ไม่เคยผิดนัดชำระ หรือมีหนี้เสียค้างคา จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับธนาคาร และทำให้การอนุมัติสินเชื่อบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น ในทางกลับกัน หากมีประวัติไม่ดี อาจต้องใช้เวลาในการแก้ไขปรับปรุงสถานะทางการเงิน และเคลียร์หนี้สินเดิมให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถเริ่มต้นวางแผนกู้ซื้อบ้านหลังแรกได้
5. มีแผนการใช้ชีวิตชัดเจน พร้อมปักหลักอยู่บ้านในระยะยาว
บ้านคือการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์ และแผนอนาคต ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านหลังแรก ควรตอบตัวเองให้ได้ว่าทำเลนั้น ๆ เหมาะสมกับแผนชีวิตในระยะยาวหรือไม่ ทั้งในเรื่องการเดินทางไปทำงาน การขยับขยายครอบครัว หรือสิ่งอำนวยความสะดวก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซื้อขายบ้านค่อนข้างสูง การปักหลักอยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น อย่างน้อย 5-7 ปีขึ้นไป จึงจะถือเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่า และไม่ทำให้คุณต้องขาดทุนหากต้องการขายต่อในอนาคต
6. พร้อมผ่อนหนี้ในระยะ 20-30 ปี
การกู้ซื้อบ้านหลังแรกหมายถึงการสร้างภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวที่สุดในชีวิต ซึ่งอาจนานถึง 20 หรือ 30 ปี คุณต้องมั่นใจว่า มีความพร้อมทั้งด้านจิตใจ และแผนการเงินที่จะรับผิดชอบค่างวดไปได้ตลอดอายุสัญญา แม้ในอนาคตอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น การลาออกจากงาน หรือภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น การมีความเข้าใจ และยอมรับในเงื่อนไขระยะยาวนี้ จะทำให้คุณสามารถวางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคง
ความท้าทายในการซื้อบ้านตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป
แม้ว่าวัยอายุ 30 ปีขึ้นไปจะเป็นช่วงเวลาที่ดี และมีความพร้อมหลายด้าน แต่ก็มีความท้าทายบางอย่างที่ต้องพิจารณา เพื่อให้การวางแผนของคุณรัดกุม และราบรื่นที่สุด
ระยะเวลาผ่อนสั้นลง
ธนาคารส่วนใหญ่มักกำหนดอายุของผู้กู้รวมกับระยะเวลาผ่อนชำระแล้วไม่เกิน 60-65 ปี ดังนั้น ยิ่งคุณเริ่มกู้ซื้อบ้านช้าเท่าไร ระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุดก็จะสั้นลงตามไปด้วย เช่น หากเริ่มกู้ตอนอายุ 30 ปี อาจผ่อนได้นานสูงสุด 30 ปี แต่หากเริ่มตอนอายุที่มากกว่านี้ ระยะเวลาผ่อนอาจเหลือเพียง 20-25 ปี ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่างวดในแต่ละเดือน
ค่างวดต่อเดือนมีโอกาสสูงขึ้น
ผลกระทบที่ตามมาโดยตรงจากระยะเวลาผ่อนที่สั้นลง คือค่างวดต่อเดือนที่สูงขึ้น เพราะจำนวนเงินกู้ก้อนเดียวกันต้องถูกหารด้วยจำนวนงวดที่น้อยลง ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ที่วางแผนซื้อบ้านในช่วงอายุนี้ จึงจำเป็นต้องมีรายได้ที่สูงขึ้น หรือเตรียมเงินดาวน์ไว้มากขึ้น เพื่อให้ค่างวดอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้โดยไม่กระทบสภาพคล่อง
ภาระความรับผิดชอบอื่น ๆ เช่น การดูแลพ่อแม่ หรือสร้างครอบครัว
วัย 30-45 ปี มักเป็นช่วงเวลาที่หลายคนมีภาระความรับผิดชอบด้านอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ การวางแผนสร้างครอบครัว หรือค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตร ซึ่งภาระเหล่านี้ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องถูกนำมาคำนวณร่วมกับความสามารถในการผ่อนบ้าน การวางแผนงบประมาณอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
กู้ซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่าน เปิด 3 ปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้พิจารณา
เมื่อเข้าใจความพร้อม และความท้าทายแล้ว มาดู 3 ปัจจัยหลักที่ธนาคารใช้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้านกัน เพื่อให้คุณเตรียมตัวได้อย่างตรงจุดที่สุด
1. ความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Ratio - DSR)
DSR คือ สัดส่วนภาระหนี้ทั้งหมดต่อเดือนเทียบกับรายได้รวมต่อเดือน เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธนาคารใช้ประเมินว่าคุณจะสามารถรับภาระหนี้ใหม่ได้หรือไม่ โดยทั่วไป ธนาคารมักกำหนดให้ผู้กู้มี DSR ไม่เกิน 40-50% หากคุณมีภาระผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลอื่น ๆ อยู่แล้ว ยอดหนี้เหล่านั้นจะถูกนำมาคำนวณด้วย ซึ่งหมายความว่าวงเงินกู้บ้านที่คุณจะได้รับอาจลดลงตามไปด้วย
2. ความมั่นคงของรายได้ และอาชีพ
ธนาคารจะพิจารณาถึงความสม่ำเสมอ และแนวโน้มของรายได้ในอนาคต ผู้ที่มีอาชีพการงานมั่นคง เช่น พนักงานประจำที่มีอายุงานนาน หรือเจ้าของธุรกิจที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ย่อมมีโอกาสได้รับการอนุมัติง่ายกว่า เพราะธนาคารมองว่ามีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ การเตรียมเอกสารแสดงที่มาของรายได้ให้ชัดเจน และครบถ้วนจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
3. ประวัติข้อมูลเครดิต (Credit Bureau)
ดังที่กล่าวไปข้างต้น ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาของคุณซึ่งถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโรเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลนี้เพื่อดูพฤติกรรม และวินัยทางการเงินของคุณ การรักษาประวัติให้ดี ชำระหนี้ทุกอย่างตรงเวลา จะช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะมันคือเครื่องยืนยันความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการเป็นลูกหนี้ที่ดีของคุณ
ตอบคำถามยอดฮิตของคนอยากมีบ้านหลังแรก
มาถึงช่วงสุดท้าย Krungsri The COACH ได้รวบรวมคำถามยอดฮิตที่คนอยากมีบ้านหลังแรกมักสงสัย พร้อมคำตอบที่เข้าใจง่ายมาให้แล้ว
เงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะกู้ซื้อบ้านได้ ?
ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่สามารถประเมินเบื้องต้นได้จากราคาค่างวดผ่อนบ้าน โดยธนาคารมักประเมินว่าผู้กู้ควรมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 2-2.5 เท่าของค่างวด เช่น หากต้องการผ่อนบ้านเดือนละ 15,000 บาท ควรมีรายได้ประมาณ 30,000 - 37,500 บาทขึ้นไป โดยที่ยังไม่มีภาระหนี้สินอื่น ๆ
ทำงานฟรีแลนซ์ หรือเป็นเจ้าของกิจการ กู้ซื้อบ้านได้ไหม ?
กู้ได้แน่นอน แต่ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมมากกว่าพนักงานประจำ ธนาคารต้องการเห็นหลักฐานความมั่นคงของรายได้ เช่น รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6-12 เดือน เอกสารการเสียภาษี (ภ.ง.ด. 90/91) หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ทวิ 50) เพื่อพิสูจน์ว่า มีรายรับเข้ามาสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง
การมีหนี้บัตรเครดิต หรือผ่อนรถอยู่ มีผลต่อการกู้บ้านไหม ?
มีผลโดยตรง เพราะภาระหนี้เดิมจะถูกนำไปคำนวณใน DSR (ความสามารถในการชำระหนี้) ทำให้วงเงินที่สามารถกู้ซื้อบ้านได้ลดลง หากมีหนี้บัตรเครดิตจำนวนมาก หรือภาระผ่อนรถที่สูง ควรพยายามเคลียร์หนี้เหล่านี้ให้เหลือน้อยที่สุดก่อนยื่นกู้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ และได้วงเงินตามที่ต้องการ
Krungsri The COACH แนะนำ : สินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
เมื่อคุณเตรียมตัวจนพร้อมแล้ว การเลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่ใช่ และเข้าใจความต้องการของคุณคือขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำให้ฝันเป็นจริง Krungsri The COACH ขอแนะนำ
สินเชื่อบ้านกรุงศรีเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ที่พร้อมสนับสนุนทุกความฝันในการมีบ้าน ด้วยเงื่อนไขที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมข้อเสนอและอัตราดอกเบี้ยสุดพิเศษ ที่จะช่วยให้การเป็นเจ้าของบ้านหลังแรกของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้น
- อัตราดอกเบี้ยพิเศษ มีทางเลือกหลากหลายที่ตอบโจทย์ความต้องการ
- วงเงินกู้สูง ช่วยให้คุณสามารถเลือกบ้านในฝันได้อย่างที่ตั้งใจ
- ระยะเวลาผ่อนชำระนาน สูงสุดถึง 30 ปี ช่วยให้ค่างวดต่อเดือนไม่เป็นภาระหนักเกินไป
- ฟรี ค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน*
- ฟรีค่าจดจำนอง**
- สมัครได้หลากหลายอาชีพ พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอน
*ฟรี ! ค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน มูลค่า 3,210 บาท (วันที่ 16 พ.ค. 68 – 31 ส.ค. 68)
**ฟรีค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนด และเลือกดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองเท่านั้น
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว l อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 3.938% - 5.732% ต่อปี***
***สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 18 ส.ค. 68 = 6.870% ต่อปี ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ รายละเอียดดอกเบี้ยและการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ใน
Fact sheet
สรุปแล้วการกู้ซื้อบ้านหลังแรกไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ซื้อบ้านตอนอายุเท่าไรถึงจะดีที่สุด เพราะ “ความพร้อม” ในทุกมิติ ทั้งการเงิน การงาน และเป้าหมายในชีวิต คือปัจจัยที่สำคัญกว่าตัวเลขอายุเสมอ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร หากมีการวางแผนทางการเงินที่ดี เตรียมตัวอย่างรอบคอบ และเลือก สินเชื่อบ้านที่ยืดหยุ่นและดอกเบี้ยคุ้มค่า จะช่วยให้ความฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริงอย่างแน่นอน
อ้างอิง