เทียบชัด บัตรเครดิต กับ Travel Card เที่ยวต่างประเทศบัตรไหนคุ้มสุด

เมื่อเราต้องเดินทางไปต่างประเทศ หลายคนอาจตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะใช้บัตรเดบิตหรือ Travel card ดี เพราะหลายคนที่มีบัตรเครดิตอยู่แล้วอาจสงสัยว่าเราสามารถใช้บัตรเครดิตที่มีในต่างประเทศเลยได้เลยหรือไม่ การใช้บัตรประเภทไหนจะดีกว่ากัน มาดูข้อแตกต่างของการใช้งานบัตรสองชนิดนี้กัน บัตร Travel Card คือ บัตรเดบิตรูปแบบหนึ่งที่สามารถรูดซื้อสินค้าได้ทั่วไป โดยเงินจะถูกหักจากบัตรหรือบัญชีของเราตามปกติ แต่จุดเด่นที่ทำให้บัตรเดบิตประเภทนี้ไม่เหมือนใคร และเหมาะกับคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะไปทำงานหรือไปเที่ยว ก็คือบัตร Travel Card สามารถแลกเงินสดจากเงินบาทเป็นเงินสกุลต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านทางแอปพลิเคชัน ยกตัวอย่างเช่น ต้องการนำบัตร Travel Card ไปใช้ที่ญี่ปุ่น ก็แลกเงินเยนเก็บไว้ในบัตร ถึงเวลาเดินทาง ก็นำบัตรใบนี้ไปรูดใช้จ่ายได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม แถมยังสามารถเลือกแลกเงินในช่วงเวลาที่เรตดีที่สุดได้อีกด้วย เมื่อรู้จักวิธีใช้ Travel Card และรู้แล้วว่าสามารถเลือกแลกเงินสกุลต่าง ๆ ในเรตดีสุดได้ ลำดับต่อไป เรามาดูกันดีกว่าครับว่าข้อดีของการใช้บัตรประเภทนี้จะมีอะไรกันบ้าง

• สามารถแลกเงินหลากหลายสกุลได้ล่วงหน้า และ Travel Card ส่วนใหญ่มักมีเรตที่ถูกกว่าการแลกเงินด้วยเงินสด
• ไม่จำเป็นต้องพกเงินสดครั้งละมาก ๆ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม
• สามารถใช้ถอนเงินสดจากตู้ ATM ในต่างประเทศได้
• ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการรูดใช้จ่าย 2.5%
• ใช้งานได้สะดวก สามารถเช็กยอดเงินและแลกเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชันบนมือถือ
• บัตร Travel Card หลายใบมักมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์คนเดินทาง เช่น ประกันการเดินทาง และส่วนลดร้านค้าต่าง ๆ

จะไปเที่ยวต่างประเทศทั้งทีจะพกเงินสดอย่างเดียวก็เสียวไส้ บัตรเครดิตจึงเป็นตัวเลือกที่นักเดินทางพกติดตัวกันมาอย่างยาวนาน แต่แม้ว่าจะใช้งานได้สะดวก การใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศก็ยังมีเงื่อนไขที่ต้องศึกษาก่อนเช่นกัน
 

1. แจ้งบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตเพื่อเปิดบัตรเครดิตใช้งานต่างประเทศ

เมื่อเราจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วนำบัตรเครดิตไปใช้ชำระค่าสินค้า หรือค่าบริการต่าง ๆ ควรต้องแจ้งบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตไว้ว่าจะเดินทางไปไหน มิฉะนั้นอาจโดนระงับบัตรโดยไม่รู้ตัว เพราะบริษัทอาจคิดว่าบัตรถูกขโมยหรือถูกแฮ็ก เนื่องจากอยู่ ๆ ก็มีการนำไปใช้ที่ต่างประเทศนั่นเอง
 

2. คำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้จ่าย

ข้อต่อมาที่ต้องคำนึงถึง คือการนำบัตรเครดิตไปใช้ต่างประเทศอาจมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นมา เพราะบัตรเครดิตของแต่ละบริษัทก็มีบริการที่ต่างกันไป บางครั้งคุณอาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมไม่เท่ากันในการใช้บัตรในประเทศกับต่างประเทศ ดังนั้นการสอบถามรายละเอียดส่วนนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

และไม่ว่าจะใช้บัตรเครดิตหรือบัตร Travel Card ต้องมั่นใจว่าเราสามารถติดต่อธนาคารได้แม้จะอยู่ต่างประเทศ และอย่าลืมถ่ายสำเนาบัตรพกติดตัวเอาไว้เพื่อความอุ่นใจ
 

3. หมั่นเช็กประวัติการใช้บัตรเพื่อความปลอดภัย

ดท้าย การใช้งานบัตรเครดิตที่รูดง่าย เซ็นคล่อง ดังนั้นการหมั่นเช็กประวัติการใช้บัตรเครดิตเมื่ออยู่ต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพื่อจะได้เห็นตัวเลขว่าเราใช้วงเงินไปแค่ไหนแล้ว เกินงบหรือไม่ เพื่อให้เดินทางกลับมาอย่างสบายใจ ไม่ต้องมีหนี้ก้อนโตหลังจบทริป (อ่านเคล็ดลับการใช้บัตรเครดิตให้ปลอดภัยจากการโจรกรรม) ไม่ว่าคุณจะใช้บัตร Travel Card หรือบัตรเครดิต แต่เมื่อไปต่างประเทศ บ้านไม่คุ้น เมืองไม่เคย อย่ามองข้ามการวางแผนเผื่อเหตุฉุกเฉินด้วยการพกเงินสดติดตัวไว้ หากบังเอิญบัตรเครดิตหรือบัตร Travel Card ถูกขโมยไป อย่างน้อยเราก็มีเงินสดสำรองเอาไว้ใช้จนกว่าจะได้บัตรใหม่ หรือมีบัตรเดบิตติดตัวไปอีกใบแล้วเอาไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ หรือใช้บัตรเดบิตเป็นบัตรหลัก แต่ว่ามีบัตรเครดิตเอาไว้เป็นทุนฉุกเฉิน เป็นต้น เปรียบเทียบบัตร Travel Card กับบัตรเครดิตแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเห็นความแตกต่างใช่ไหมครับว่าแบบไหนคุ้มกว่า แล้วถ้าหากสนใจอยากสมัครบัตร Travel Card แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกของอะไรดี เราขอแนะนำบัตรกรุงศรี Boarding Card บัตรเดบิตพร้อมบริการแลกเงินต่างประเทศที่รองรับ 16 สกุลเงินหลักของโลก เช่น JPY, KRW, HKD, SGD, USD และ EUR รูดได้ทุกที่ที่มีเครื่องหมาย VISA โดยไม่มีค่าธรรมเนียม 2.5%

สำหรับผู้ที่อยากทราบข้อมูลวิธีสมัคร Travel Card ของธนาคารกรุงศรีและมีข้อสงสัยอื่น ๆ เช่น สมัครบัตร Travel Card กี่วันได้รับบัตร จะแลกเงินผ่านแอปพลิเคชันอย่างไร มีเงื่อนไขการสมัครอย่างไบ้าง สามารถศึกษารายละเอียด Krungsri Boarding card