การซื้อรถสักคันหนึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อยเลย เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่แลกมาด้วยเงินก้อนใหญ่ ทำให้หลาย ๆ คนเลือกที่จะผ่อนจ่ายแบบรายเดือน แต่ทว่า ก่อนที่จะเริ่มผ่อนรถยนต์จะต้องเตรียมตัวรับมือกับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ใช้เอกสารอะไรบ้าง ถ้าผ่อนรถไม่ไหวจะทำอย่างไรดี? ดอกเบี้ยผ่อนรถแพงไหม และไหนจะผ่อนรถกี่งวดถึงจะรีไฟแนนซ์ได้ วันนี้เรารวมทุกประเด็นร้อน ที่หลายคนสงสัยมาไว้ให้แล้ว… แบบฉบับอ่านจบปุ๊บพร้อมออกรถได้ทันทีเลย
สิ่งที่ควรรู้ก่อนผ่อนรถยนต์กับธนาคาร
ก่อนจะตัดสินใจรับมือค่าใช้จ่ายระยะยาว การเตรียมความพร้อม และทำความเข้าใจในรายละเอียดต่าง ๆ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การผ่อนรถของคุณราบรื่น และไม่สร้างปัญหาทางการเงินในอนาคต
1. ศึกษาสินเชื่อรถยนต์แต่ละประเภท
สินเชื่อรถยนต์ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว โดยทั่วไปแล้วสินเชื่อที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยคือ “สินเชื่อเช่าซื้อ” ซึ่งมีจุดเด่นคืออัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา ทำให้เราสามารถวางแผนการเงินได้ง่าย เพราะยอดผ่อนจะเท่ากันทุกเดือน
นอกจากนี้ยังมี
“สินเชื่อรีไฟแนนซ์” สำหรับคนที่มีรถอยู่แล้วและต้องการลดภาระค่างวด หรือต้องการเงินก้อนไปใช้จ่าย การทำความเข้าใจสินเชื่อแต่ละประเภทจะช่วยให้เราเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินและความต้องการของเราได้ดีที่สุด
2. ศึกษาเงื่อนไขเงินดาวน์รถให้ละเอียด
เงินดาวน์คือเงินก้อนแรกที่เราจ่ายเพื่อซื้อรถ ซึ่งส่งผลโดยตรงกับยอดผ่อนในแต่ละเดือน การวางเงินดาวน์สูงจะช่วยให้ยอดจัดสินเชื่อลดลง ทำให้ค่างวดต่อเดือนน้อยลง และยังช่วยประหยัดดอกเบี้ยโดยรวมได้อีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการเงินมักมองว่าการวางเงินดาวน์สูงสะท้อนถึงความพร้อมทางการเงินและความเสี่ยงที่ต่ำลง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อให้ง่ายขึ้นด้วย
3. เปรียบเทียบราคารถยนต์ให้ถี่ถ้วน
ก่อนจะตัดสินใจเลือกรถคันที่ใช่ อย่าลืมใช้เวลาเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ ดีลเลอร์ เพราะแต่ละแห่งอาจมีโปรโมชัน ส่วนลด หรือของแถมที่แตกต่างกันไป เช่น ส่วนลดเงินสด ฟรีประกันภัยชั้น 1 หรือชุดแต่งรอบคัน
4. เตรียมค่าใช้จ่ายหลังออกรถให้เรียบร้อย
การเป็นเจ้าของรถไม่ได้มีแค่ค่างวดรายเดือนเท่านั้น แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าประกันภัยภาคสมัครใจ ค่าบำรุงรักษาตามระยะ ค่าภาษีรถยนต์ประจำปี ค่าทางด่วน หรือแม้กระทั่งค่าที่จอดรถ
กู้ซื้อรถต้องมีเงินดาวน์เท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ?
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณค่าใช้จ่ายกัน สมมติว่าคุณต้องการซื้อรถยนต์ในราคา 749,000 บาท และตัดสินใจวางเงินดาวน์ 40% หรือ 299,600 บาท จะทำให้ยอดที่ต้องผ่อนชำระกับสถาบันการเงินอยู่ที่ 449,400 บาท หากเลือกผ่อน 48 เดือน (4 ปี) ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ยอดผ่อนชำระต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 11,235 บาท
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ที่ต้องเตรียมไว้ด้วย เช่น
- ค่า พรบ./ประกันภัย/ภาษีรถยนต์ : ประมาณ 14,000 - 20,000 บาทต่อปี
- ค่าน้ำมัน : ประมาณ 2,000 - 4,000 บาทต่อเดือน
- ค่าทางด่วน (หากใช้เป็นประจำ) : ประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน
- ค่าที่จอดรถ : ประมาณ 800 - 1,500 บาทต่อเดือน
หมายเหตุ : ตัวเลขทั้งหมดเป็นตัวเลขสมมติเพื่อการคำนวณเท่านั้น
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าการซื้อรถยนต์หนึ่งคันมีค่าใช้จ่ายมากมายเกินกว่าที่คาดคิด และยังเป็นภาระผูกพันในระยะยาว ดังนั้น การวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถใช้รถยนต์คันโปรดได้อย่างสบายใจ และผ่อนชำระได้แบบไม่สะดุดกลางทาง
เอกสารออกรถยนต์กับธนาคาร มีอะไรบ้าง ?
จะออกรถยนต์สักคันใช้เอกสารอะไรบ้าง กรณีไม่มีประวัติเสีย หรือปิดเรียบร้อย ก็สามารถเริ่มเตรียมเอกสารสำคัญได้เลย โดยที่ขอแยกชุดเอกสารไป จะเป็นสำหรับพนักงานประจำ อาชีพอิสระ ดังต่อไปนี้
พนักงานประจำ
- สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน อย่างละ 3 ใบ
- สลิปเงินเดือน (สลิปคาร์บอน) ย้อนหลัง 6 เดือน ถ้าหากไม่มีให้ใช้ใบรับรองเงินเดือน
- สมุดบัญชีเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน เพื่อที่จะดูความสามารถในการชำระหนี้
หากไม่ค่อยได้อัปเดตสมุดบัญชี สามารถใช้ Statement (ย้อนหลัง 6 เดือน) ที่ขอจากธนาคารได้
อาชีพอิสระ (เช่น ค้าขาย)
- สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน อย่างละ 3 ใบ (เหมือนกับพนักงานประจำ)
- ใบเสร็จ ใบส่งของ หลักฐานการซื้อขายทุกรายการ เพื่อเก็บไว้ยื่นไฟแนนซ์ เอกสารยิ่งครบ ยิ่งผ่านง่ายนะบอกเลย
- รูปถ่ายหน้าร้าน พร้อมใบเสร็จค่าเช่าที่ หรือภาพเพจ Facebook, IG หากขายของทางออนไลน์
- Statement หรือรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 1 ปี เพื่อแสดงฐานรายได้ที่มั่นคง
ทริค! ควรที่จะมีรายรับก้อนใหญ่เข้าในทุก ๆ เดือน และมีรายได้เสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ แต่ข้อควรระวังคือ เมื่อใดที่มีเงินเข้าอย่าเพิ่งใจร้อนถอนออกจนหมดนะ ให้ทยอยถอนใช้ทีละนิดในวันอื่น ๆ ด้วย และเหลือเงินคงค้างติดบัญชีไว้ประมาณ 10% จะเพิ่มความน่าเชื่อถือขึ้นได้อีก
7 เทคนิคผ่อนรถยนต์หมดไว อยากผ่อนรถแบบชิว ๆ เริ่มอย่างไรดี ?
เมื่อเตรียมตัวเรื่องเอกสาร และค่าใช้จ่ายเบื้องต้นแล้ว เรามาดูเทคนิคที่จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของรถได้อย่างสบายใจ และที่สำคัญคือช่วยให้ผ่อนรถยนต์หมดไวขึ้นกว่าเดิม จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. ก่อนผ่อนรถยนต์ ถ้าติด (แบล็กลิสต์) ต้องปิดก่อนนะ
สำหรับใครที่อยากเริ่มผ่อนรถยนต์ ก่อนจะเช็กสเปกรถที่ชอบ ต้องเริ่มเช็กประวัติตัวเราเองก่อน ว่ามีประวัติเสียหรือเปล่า ติดเครดิตบูโรที่ไหนไว้ไหม ตัวอย่างเช่น เคยผิดชำระหนี้บัตรเครดิตผิดชำระ O/D ผิดชำระหนี้
สินเชื่อส่วนบุคคล และอื่น ๆ ถ้ามีจะต้องทำเรื่องปิดให้เรียบร้อยก่อน มากไปกว่านั้นคือ ต้องทิ้งระยะเวลาให้นานเกิน 2 ปี ขึ้นไป ถึงจะเริ่มผ่อนรถได้ หากว่าอยากซื้อเลยต้องนำใบปิดไปยื่นกับไฟแนนซ์ จากนั้นวางวงเงินดาวน์ประมาณ 40% ขึ้นไป ซึ่งไฟแนนซ์จะพิจารณาเป็นกรณีไปขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
2. ยอดดาวน์ (ยิ่งเยอะ ยิ่งดี)
เงินดาวน์ คือ เงินสดที่เรานำไปวางตอนซื้อรถ ซึ่งจะเป็นเงินส่วนแรกในการชำระค่ารถนั้น เมื่อหักลบกลบหนี้จากค่ารถแล้ว เหลือเท่าไหร่ไฟแนนซ์จะนำยอดเงินที่เหลือมาคูณเป็นเปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อนำมาคิดยอด
ผ่อนชำระที่เราจะต้องจ่ายต่อเดือน ซึ่งนั่นแปลว่า เงินดาวน์ยิ่งเยอะเท่าไหร่ ภาระในการผ่อนชำระในแต่ละเดือนยิ่งต่ำลง หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ “ดาวน์สูง – ผ่อนต่ำ แต่ถ้า ดาวน์ต่ำ – ผ่อนสูง”
ทริค! ถ้าหากเรามีเงินสดเป็นก้อนใหญ่มาวางดาวน์ให้สูงไว้ตั้งแต่ต้นจะยิ่งเป็นผลดี เนื่องจากดอกเบี้ยรถยนต์เป็นดอกเบี้ยตายตัว แต่ถ้าหากทำการปิดบัญชีแบบจ่ายค่างวดคงค้างทั้งหมด จะได้ส่วนลดดอกเบี้ยคงค้างแบบขั้นบันได โดยที่ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องลดดอกเบี้ยให้ผู้เช่าซื้อไม่น้อยกว่า 60% กรณีชำระค่างวดเกินกว่า 1 ใน 3 แต่ไม่เกิน 2 ใน 3 ของค่างวดทั้งหมด ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องลดดอกเบี้ยให้ผู้เช่าซื้อไม่น้อยกว่า 70% และกรณีชำระค่างวดเกินกว่า 2 ใน 3 ของค่างวดทั้งหมด ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องลดดอกเบี้ยให้ผู้เช่าซื้อทั้ง 100% หรือไม่คิดดอกเบี้ย
ซึ่งจะต่างออกไปจากการผ่อนบ้านที่สามารถโปะให้ดอกเบี้ยลดลงได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่นะ! ถ้าเลือกดาวน์น้อยกว่า 20% ของราคารถการผ่อนรถยนต์ก็จำเป็นที่จะต้องมีคนค้ำประกัน หรืออีกกรณีหนึ่ง หากรายได้ไม่ถึง 2 เท่าของค่างวดรถจะต้องมีคนซื้อร่วมด้วย 1 คน ถึงจะผ่านไฟแนนซ์แบบง่ายขึ้น
ถ้าหากสนใจที่จะซื้อรถยนต์สักคันแต่อยากผ่อนรถยนต์แบบสบายใจไม่สะดุดระหว่างทาง ลองมาดูทริคดี ๆ ได้ในคลิปนี้ Krungsri The COACH Ep.45 ผ่อนรถยังไงให้ชีวิตไม่สะดุด รับรองได้ความรู้แน่นปึ๊ก คลิกเลย
3. เวลาผ่อนชำระ (ยิ่งน้อย ยิ่งส่งผลดี)
นอกเหนือไปจากจำนวนเงินดาวน์ อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อจากการคิดดอกเบี้ยผ่อนรถยนต์ คือ จำนวนงวดผ่อนชำระ เมื่อยิ่งเราผ่อนนาน ดอกเบี้ยจะยิ่งสูง ซึ่งส่วนมากจำนวนงวดที่นิยมกันจะอยู่ที่ประมาณ 48 เดือน (ราว ๆ 4 ปี) หรือ 60 เดือน (ราว ๆ 5 ปี) ซึ่งถ้านานกว่านี้ดอกเบี้ยจะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องจ่ายเกินกว่าราคาจริงมากไปโดยใช่เหตุ
ทริค! ถ้ายิ่งผ่อนรถยนต์หมดเร็ว ดอกเบี้ยยิ่งต่ำ ซึ่งถ้าเลือกที่จะผ่อนชำระ 48 เดือน การผ่อน 1-4 ปี ใช้อัตราดอกเบี้ยเดียวกัน ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วว่า 4 ปี เป็นระยะเวลาที่ผ่อนชำระได้สบายที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องถามตัวเองด้วยว่า จำนวนเงินที่ผ่อนในแต่ละเดือนไหวหรือเปล่า เกินกำลังไปไหม
4. ประกันรถยนต์ (ภาคสมัครใจ ชั้น 1-5)
ถึงแม้กฎหมายจะไม่ได้บังคับให้รถยนต์ต้องมีประกันภัยภาคสมัครใจ เหมือนกับประกันภัยภาคบังคับ (พรบ.) แต่การทำ
สินเชื่อรถยนต์ทั้งใหม่และเก่า ไฟแนนซ์จะให้ลูกค้าทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ โดยพิจารณาจากอายุรถยนต์เป็นสำคัญ เช่น ถ้าทำสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ในปีแรก ก็จะแจ้งให้ทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 1 ถึงจะสามารถอนุมัติสินเชื่อได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้ออกรถทุกคน เนื่องจากความคุ้มครองของประกันรถยนต์ภาคสมัครใจจะมีความคุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกัน กรณีเสียหาย สูญหาย หรือไฟไหม้ ตามประเภทของประกันภาคสมัครใจที่สมัครไป ซึ่งความคุ้มครองนี้ไม่มีอยู่ใน พรบ.
ทริค! เมื่อไรที่ออกรถครบ 1 ปี เราสามารถเลือกเปลี่ยนบริษัทประกันได้เองเลย หรือจะให้ทางกรุงศรีออโต้โบรคเกอร์นำเสนอบริษัทประกันที่ตรงใจ เราก็มีเจ้าหน้าที่ที่สามารถเสนอบริษัทประกันภัย สามารถอธิบายเข้าใจง่าย ๆ ตอบสนองความต้องการ ณ เวลานั้นมากที่สุด เหมือนมีที่ปรึกษาเรื่อง
ประกันภัยอยู่ด้วยตลอดเวลา รับรองว่าหมดห่วงเรื่องบนท้องถนนได้เลย
5. ไม่จ่ายค่างวดเกินเวลาที่กำหนด
วินัยในการชำระเงินเป็นหัวใจสำคัญของการผ่อนรถ การจ่ายค่างวดล่าช้า ไม่เพียงแต่จะทำให้เราต้องเสียค่าปรับ และค่าติดตามทวงถามโดยไม่จำเป็นเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อประวัติข้อมูลเครดิตของเราอีกด้วย เพื่อป้องกันการลืม แนะนำให้ตั้งการแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือ หรือสมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเราชำระค่างวดตรงเวลาทุกเดือน ช่วยรักษาประวัติทางการเงินที่ดีไว้นั่นเอง
6. จ่ายโปะเกินค่างวดรถที่ผ่อน
อีกหนึ่งวิธีผ่อนรถให้หมดเร็ว คือการจ่ายเงินเพิ่มจากค่างวดปกติเมื่อมีโอกาส เช่น เมื่อได้รับโบนัส หรือมีรายได้พิเศษเข้ามา ลองนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายโปะค่างวดรถ โดยเงินส่วนที่เกินจากค่างวดปกติจะเข้าไปช่วยตัดเงินต้นโดยตรง ทำให้ยอดหนี้ลดลงเร็วขึ้น ส่งผลให้เราจ่ายดอกเบี้ยโดยรวมน้อยลง และปลดหนี้ได้ก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม ควรแจ้งความประสงค์กับสถาบันการเงินให้ชัดเจนว่าต้องการนำเงินส่วนเกินไป “ตัดเงินต้น” ไม่ใช่การจ่ายค่างวดล่วงหน้า
7. รีไฟแนนซ์ให้ดอกเบี้ยถูกลง
เมื่อผ่อนรถไปได้สักระยะหนึ่ง (โดยทั่วไปคือเกินครึ่งหนึ่งของสัญญา) และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี การรีไฟแนนซ์อาจเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเรามีโอกาสที่จะได้รับข้อเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงกว่าสัญญาเดิม ซึ่งจะช่วยลดค่างวดต่อเดือนลงได้ หรือหากยังคงจ่ายค่างวดเท่าเดิม ก็จะทำให้ผ่อนรถยนต์หมดไวขึ้นไปอีก ก่อนตัดสินใจอาจลองใช้
เครื่องมือคำนวณสินเชื่อรถยนต์ เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่า และดูว่าเราจะประหยัดไปได้มากน้อยแค่ไหน
การเป็นเจ้าของรถยนต์สักคันไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันหากมีการวางแผนทางการเงินที่ดี และรอบคอบ ตั้งแต่การเตรียมเงินดาวน์ให้สูงเพื่อลดภาระ การเลือกประเภทสินเชื่อและระยะเวลาผ่อนชำระที่เหมาะสม ไปจนถึงการมีวินัยในการจ่ายค่างวด และที่สำคัญ การใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การจ่ายโปะเมื่อมีโอกาส หรือการรีไฟแนนซ์ในเวลาที่เหมาะสม ก็เป็นกลยุทธ์ชั้นเยี่ยมที่จะช่วยให้คุณผ่อนรถยนต์หมดไว และเป็นเจ้าของรถได้อย่างสบายใจไร้กังวล ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้จาก Krungsri The COACH คุณก็พร้อมที่จะขับขี่รถคันโปรดไปบนเส้นทางแห่งความสำเร็จได้อย่างมั่นคงแล้ว