ลงทุนกองทุนดัชนี (Index Fund) ต้องดูอะไรบ้าง
เพื่อชีวิตสบาย
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ลงทุนกองทุนดัชนี (Index Fund) ต้องดูอะไรบ้าง

icon-access-time Posted On 29 มีนาคม 2567
By Krungsri The COACH
กองทุนดัชนี (Index Fund) เป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากสามารถลงทุนในหุ้นจากหลากหลายประเทศทั่วโลกได้ ที่สำคัญคือ มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนประเภทอื่น ๆ อีกด้วย

เข้าใจกองทุนดัชนี (Index Fund) เพื่อต่อยอดการลงทุนได้อย่างเหมาะสม

ก่อนจะเริ่มลงเงิน ต้องลงทุนความรู้เพื่อให้เข้าใจก่อนว่า ดัชนี (Index) คืออะไร? ซึ่งต้องเริ่มจากเรื่องดัชนีหุ้น คือตัวสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั้น ๆ ทั้งหมด และมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้น-ลงตลอดเวลา ส่วนกองทุนดัชนี คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมดที่อยู่ในดัชนีอ้างอิง และมุ่งหวังให้ผลตอบแทนเลียนแบบดัชนีที่อ้างอิง ซึ่งกองทุนก็จะปรับตัวขึ้นลง ล้อไปตามดัชนีนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน

เรื่องต่อไปที่ควรเข้าใจก็คือ กองทุน Index Fund มีอะไรบ้าง ตัวอย่างกองทุนยอดนิยมของนักลงทุน เช่น
  1. กองทุนดัชนี SET50 เป็นกองทุนที่อ้างอิงจากดัชนีจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยใช้ดัชนีราคาหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ดีที่สุดของ 50 ตัวแรก และในแต่ละปีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความผันผวนของตลาดหุ้น
  2. กองทุนดัชนี S&P 500 ซึ่งอ้างอิงตามดัชนีตลาดหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกาขนาดใหญ่จาก 500 บริษัทแรก ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เช่น หุ้นจากบริษัทชื่อดังอย่าง Apple, Google, Microsoft, Tesla และ Amazon เป็นต้น

เรื่องที่ต้องรู้ขั้นสุดท้ายก็คือ Index Fund ซื้อยังไง ขั้นตอนนี้ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนรวมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา เมื่อเปิดบัญชีเรียบร้อยแล้วก็สามารถซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่สนใจได้เลย
 
ข้อดีของกองทุนดัชนี

5 ข้อดีของกองทุนดัชนี ที่ทำให้นักลงทุนต้องมีติดพอร์ต

สาเหตุที่กองทุนดัชนีได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีข้อดีกว่ากองทุนรวมประเภทอื่น ๆ ถึง 5 ข้อ คือ
 

1. ค่าธรรมเนียมถูกกว่า

เนื่องจากกองทุนดัชนีส่วนใหญ่เป็นกองทุน Passive Fund ทำให้ค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าธรรมเนียมซื้อขายมักมีอัตราต่ำกว่ากองทุนประเภทอื่น ๆ
 

2. ไม่มีเวลาก็สามารถลงทุนในกองทุนดัชนีได้

เพราะมีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญคอยดูแลการลงทุนให้ และมักจะเป็นการลงทุนในหุ้นที่ดีที่สุดของดัชนีนั้น ๆ อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตบ่อย ๆ และยังสามารถลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อเฉลี่ยต้นทุน และเพิ่มโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนเชิงบวกในระยะยาวได้
 

3. เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยได้

บางกองทุนดัชนีสามารถเริ่มต้นลงทุนเพียง 2,000 บาทต่อรายการเท่านั้น
 

4. มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า หากลงทุนระยะยาว

กองทุนดัชนี ก็คือ กองทุนรวมแบบเชิงรับ (Passive Fund) ที่มุ่งหวังให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีของตลาดหุ้น หากเปรียบเทียบกับกองทุนรวมแบบเชิงรุก (Active Fund) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มุ่งหวังให้ผลตอบแทนเอาชนะดัชนีตลาดได้ กองทุนดัชนีมักจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า หากเป็นการลงทุนในระยะยาว
 

5. เลือกลงทุนในกองทุนได้หลากหลาย ทั้งในและต่างประเทศ

กองทุน Index Fund สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และนอกจากการลงทุนในดัชนีที่อ้างอิงกับตลาดหุ้นทั่วโลกได้แล้ว ยังมีสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ให้เลือกลงทุนได้ด้วย
 
วิธีเลือกกองทุนดัชนีให้ตอบโจทย์

เลือกลงทุนกองทุนดัชนี ต้องดูอะไรบ้าง เพื่อให้ตอบโจทย์การลงทุนสูงสุด

การเลือกลงทุนในกองทุนดัชนี มีข้อควรพิจารณาหลัก ๆ 5 ประการ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองมากที่สุด ก่อนลงทุนสามารถพิจารณาได้ดังนี้
  1. พิจารณาข้อมูล Index Fund ที่ต้องการเลือกซื้ออย่างถี่ถ้วนว่า มีนโยบายการลงทุนในดัชนีใด ลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศ ลงทุนในหุ้นดัชนี ในธุรกิจอะไร โดยอาจจะพิจารณาจากประเภทสินทรัพย์ 10 อันดับแรกที่กองทุนลงทุนก็ได้
  2. กรณีเป็นหุ้นต่างประเทศ หากเป็น Feeder Fund ต้องพิจารณาว่ากองทุนนั้น ๆ นำเงินไปลงทุนในกองทุนหลัก (Master Fund) ที่ลงทุนตามดัชนีอะไร เช่น ดัชนีหุ้นโลก ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นจีน เป็นต้น
  3. กองทุนนั้นมีระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ที่ระดับใด เหมาะสมกับผลประเมินความเหมาะสมในการลงทุนของตนเองหรือไม่
  4. เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมแต่ละ Index Fund เพราะยิ่งมีค่าธรรมเนียมต่ำ ผลตอบแทนของกองทุนก็จะยิ่งใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี
  5. ควรทราบว่า กองทุนดัชนีที่จะลงทุนมีปัจจัยความเสี่ยงจากอะไรบ้าง มีข้อควรระวังอื่น ๆ หรือไม่ เช่น ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในส่วนที่ลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงของธุรกิจในดัชนี ที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น

ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถอ่านได้จากหนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet) ของ Index Fund ที่สนใจ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจลงทุน

เติบโตตามตลาดด้วยกองทุนดัชนี

อย่างที่กล่าวไปว่า Index Fund คือ กองทุนที่มีนโยบายการบริหารจัดการกองทุนในรูปแบบเชิงรับ (Passive Management) อ้างอิงผลตอบแทนของตามดัชนีตลาดหุ้นที่ลงทุน ส่งผลให้ผลตอบแทนที่ได้รับ มีโอกาสใกล้เคียงกับผลตอบแทนที่ได้จากดัชนีหุ้นที่ลงทุนตาม แต่จะไม่ใช่กองทุนที่มีจุดประสงค์เพื่อเอาชนะตลาด

กองทุนดัชนีจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากดัชนีส่วนใหญ่เป็นดัชนีของหุ้นในบริษัทที่เชื่อถือได้ มีมูลค่าหลักทรัพย์สูง หากลงทุนอย่างต่อเนื่อง เก็บเล็กผสมน้อยอย่างสม่ำเสมอ มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว

แนะนำ 4 กองทุนดัชนีที่น่าสนใจจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ธนาคารกรุงศรีอยุธยาก็มีกองทุนดัชนีที่น่าสนใจหลาย ๆ กองทุนไว้เป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับ 4 กองทุนที่นำมาแนะนำนี้
 

1. กองทุนเปิดกรุงศรี SET100-สะสมมูลค่า (KFS100-A)

กองทุนดัชนีซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุน มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยซึ่งอยู่ในดัชนี SET100 ไม่ต่ำกว่า 80% ของ NAV และไม่มีความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ มุ่งหวังให้กองทุนมีผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET100 มีความเสี่ยงสูงในระดับ 6

สนใจอ่านข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ หนังสือชี้ชวน KFS100-A
 

2. กองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าอิควิตี้ CSI 300-สะสมมูลค่า (KFCSI300-A)

กองทุนดัชนีซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศ โดยลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ ChinaAMC CSI 300 Index ETF เป็นกองทุนหลัก ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ซึ่งกองทุนหลักจะลงทุนในหลักทรัพย์ของดัชนี CSI300 ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง บริหารจัดการโดย China Asset Management (Hong Kong) Limited มุ่งหวังให้เกิดผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ให้ใกล้เคียงกับดัชนี CSI300 ในส่วนของการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกองทุนนี้มีความเสี่ยงสูงระดับ 6

สนใจอ่านข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ หนังสือชี้ชวน KFCSI300-A
 

3. กองทุนเปิดกรุงศรียูเอสอิควิตี้อินเด็กซ์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า (KFUSINDX-A)

กองทุนดัชนีซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศ โดยลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ iShares Core S&P 500 ETF เป็นกองทุนหลัก ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ซึ่งกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในของดัชนี S&P500 Index ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา บริหารจัดการโดย BlackRock Fund Advisors มุ่งหวังให้เกิดผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ให้ใกล้เคียงกับดัชนี S&P500 Index ในส่วนของการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจะไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ และกองทุนนี้มีความเสี่ยงสูงระดับ 6

สนใจอ่านข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ หนังสือชี้ชวน KFUSINDX-A
 

4. กองทุนเปิดกรุงศรีเวิลด์อิควิตี้อินเด็กซ์-สะสมมูลค่า (KFWINDX-A)

กองทุนดัชนีซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศ โดยลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ iShares MSCI ACWI ETF เป็นกองทุนหลัก ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ซึ่งกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในของดัชนี MSCI ACWI บริหารจัดการโดย BlackRock Fund Advisors มุ่งหวังให้เกิดผลตอบแทนเคลื่อนไหวไปตามกองทุนหลัก ในส่วนของการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกองทุนนี้มีความเสี่ยงสูงระดับ 6

สนใจอ่านข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ หนังสือชี้ชวน KFWINDX-A

หลังจากได้ทราบข้อมูลของกองทุนดัชนีกันไปแล้ว หลายท่านคงจะเริ่มสนใจอยากเริ่มลงทุนบ้างแล้ว และสำหรับท่านใดที่สนใจ แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มอย่างไรให้ถูกทาง สามารถติดต่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ที่ช่องทางฮอตไลน์ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุน KFCSI300-A, KFWINDX-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้"
  • KFWINDX-A ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรม จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา