เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หรือ EdTech (Education Technology) คืออีกหนึ่งกลุ่ม Social Tech ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม
ในปัจจุบัน EdTech ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนการสอนในห้องเรียน แต่ยังรวมถึงการนำเทคโนโลยี AI มาใช้สร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะกับแต่ละบุคคล (Personalized Learning) และยังตอบโจทย์เทรนด์การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ของคนวัยทำงานที่ต้องการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ (Upskill/Reskill) เพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
AgriTech หรือเทคโนโลยีการเกษตร ถือเป็นความหวังครั้งสำคัญของเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นดั่งกระดูกสันหลังของชาติ การเติบโตของตลาดนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากความจำเป็นในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และการรับมือกับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน
เทรนด์ที่โดดเด่นคือ “เกษตรแม่นยำ” (Precision Agriculture) ที่ใช้ข้อมูลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และโมเดล “การทำฟาร์มในรูปแบบบริการ” (Farming-as-a-Service) ที่ช่วยให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ง่ายขึ้น แต่ยังมีความท้าทายตรงที่ต้องทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้มีราคาที่จับต้องได้ และใช้งานง่ายมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรกล้าปรับเปลี่ยนสู่วิถีเกษตรยุคใหม่
ตัวอย่าง Social Tech Startup ในเทรนด์ AgriTech
- Ricult : ใช้ Big Data และภาพถ่ายดาวเทียมมาวิเคราะห์เพื่อสร้างคะแนนเครดิต (Credit Score) ให้เกษตรกรสามารถกู้เงินในระบบได้ง่ายขึ้น
- HG Robotics : ใช้โดรนเพื่อเทคโนโลยีกับการเกษตรสมัยใหม่ โดยช่วยชาวไร่อ้อยสำรวจ และวางแผนการเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้ผลผลิต และราคาสูงสุด
เริ่มลงทุนใน Social Tech Startup ได้อย่างไร ?
สำหรับนักลงทุนที่สนใจอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง มีช่องทางที่หลากหลายตามระดับความเสี่ยงและขนาดเงินทุน ดังนี้
การลงทุนโดยตรง (Venture Capital และ Angel Investor)
เป็นช่องทางสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีความเข้าใจในธุรกิจสตาร์ทอัพ สามารถลงทุนผ่านกองทุน Venture Capital (VC) ที่มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพดูแล เช่น Krungsri Finnovate หรือลงทุนในฐานะ Angel Investor ซึ่งเป็นการใช้เงินทุน และประสบการณ์ส่วนตัวเข้าไปช่วยสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น
การระดมทุนแบบสาธารณะ (Equity Crowdfunding)
ช่องทางนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพได้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น Funding Societies หรือ Investree โดยนักลงทุนจะให้เงินทุนเพื่อแลกกับหุ้น หรือหุ้นกู้ของบริษัท ซึ่งมีกลไกคุ้มครองและจำกัดวงเงินลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย
กองทุนที่เน้นสร้างผลกระทบ (Impact Funds)
คือกองทุน VC ที่ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับผลตอบแทนทางการเงิน เช่น กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) หรือ Raisewell Ventures
FAQ : ถาม-ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ Social Tech Startup กับ Plearn เพลิน
Plearn เพลินได้รวบรวมคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ Social Tech Startup มาตอบให้หายข้องใจกัน
Social Tech Startup ต่างจากธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ทั่วไปอย่างไร ?
Social Tech Startup ใช้เทคโนโลยีเป็นหัวใจหลักในการสร้างโซลูชันที่สามารถขยายผล เพื่อแก้ปัญหาในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ Social Enterprise ทั่วไปอาจไม่ได้มีเทคโนโลยีเป็นแกนหลัก
การลงทุนใน Social Tech มีความเสี่ยงสูงกว่าสตาร์ทอัพทั่วไปหรือไม่ ?
มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วไป แต่บางครั้งอาจมีความท้าทายเฉพาะตัวเพิ่มเข้ามา เช่น การสร้างรายได้ในตลาดที่รัฐให้บริการฟรี หรือข้อจำกัดทางการเมือง
เราจะวัดผลกระทบทางสังคมของการลงทุนได้อย่างไร ?
สตาร์ทอัพที่ดีจะมีการกำหนดตัวชี้วัดผลกระทบ (Impact Metrics) ที่ชัดเจน นอกเหนือจากตัวเลขทางการเงิน เช่น จำนวนผู้ป่วยที่เข้าถึงบริการสุขภาพ จำนวนนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่ได้ใช้แพลตฟอร์ม หรือปริมาณคาร์บอนที่ลดลงได้จากการใช้เทคโนโลยีการเกษตร
การลงทุนใน Social Tech Startup ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่คือวิวัฒนาการที่สำคัญของโลกการลงทุน ที่เปลี่ยนจากการมองหา “ผลกำไร” เพียงมิติเดียว สู่การสร้าง “คุณค่า” ที่ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เทรนด์ในกลุ่ม HealthTech, EdTech และ AgriTech ได้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เพราะกำลังแก้ปัญหาที่จำเป็นต่อผู้คน สำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่ไม่เพียงสร้างผลตอบแทนทางการเงิน แต่ยังได้ร่วมสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไปด้วย
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน