ปรับพอร์ตให้โต ในโลกหลังโควิด ปีแห่งการกระจายการลงทุน
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ปรับพอร์ตให้โต ในโลกหลังโควิด ปีแห่งการกระจายการลงทุน

icon-access-time Posted On 22 ธันวาคม 2564
By นิ้วโป้ง อธิป กีรติพิชญ์

โลกหลังโควิด คือโลกที่เปิดกว้างทางการลงทุน

  • ช่วงเวลา 2 ปี ที่โลกเจอกับวิกฤตโควิด ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหมือน ๆ กันทั่วโลก แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ มีตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่ง กลับให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม ฟื้นตัวได้ก่อนตั้งแต่ปลายปี 63 โดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (DM : Developed Market) ที่ฟื้นตัวจากวิกฤตได้ก่อน
  • นอกจากนี้ ยังมีกองทุนธีมเด่นที่เป็นเทรนด์ในต่างประเทศ มีศักยภาพฝ่าวิกฤต พร้อมพิชิตการเติบโตในอนาคต เช่น ธีมเทคโนโลยีการเงิน ธีมหุ้นยั่งยืน (ESG) ธีมนวัตกรรมสุขภาพ ธีมพลังงานสะอาด และธีมยานยนต์แห่งอนาคต ฯลฯ ที่สามารถเขียวฝ่าวิกฤต ให้ผลตอบแทนดีมากในรอบปี 63-64 ที่ผ่านมา ซึ่งหุ้นแทบทั้งหมด จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศ
ปรับพอร์ตให้โต ในโลกหลังโควิด ปีแห่งการกระจายการลงทุน

New Normal การลงทุน... คือเริ่มต้นกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ

  • แม้ว่าตลาดหุ้นไทย จะยังคงน่าสนใจในแง่การฟื้นตัว (Recovery) หลังวิกฤต และเป็นตลาดหุ้นที่ให้เงินปันผล (Dividend Yield) ได้ดีเฉลี่ย 3% ขึ้นไป แต่ในเชิงการสร้างพอร์ตให้เติบโต โดยเฉพาะในโลกหลังโควิด-19 นักลงทุนควรเพิ่มโอกาสทำกำไร พร้อมกระจายความเสี่ยง ไปสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน อินเดีย เวียดนาม ฯลฯ เปิดโอกาสให้เติบโตไปพร้อมเมกะเทรนด์ใหญ่ เช่น เทคโนโลยี เฮลท์แคร์ ยานยนต์แห่งอนาคต และพลังงานสะอาด ซึ่งหาได้ยากในตลาดหุ้นไทย
  • นิวนอร์มอลการลงทุน คือ การกระจายพอร์ตการลงทุน (Diversify) ส่วนหนึ่งไปต่างประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสในตลาดที่มีศักยภาพเติบโตดีกว่า และช่วยลดความเสี่ยงมากกว่าการกระจุกการลงทุนเฉพาะในประเทศไทยอีกด้วย

“ลงทุนต่างประเทศ” ไม่ยุ่งยาก มีวิธีโกอินเตอร์ได้แบบง่าย ๆ

  • นักลงทุนส่วนใหญ่ มักกังวลใจกับความยุ่งยากในการลงทุนต่างประเทศที่ต้องใช้หลายขั้นตอน... ตั้งแต่การเปิดพอร์ต Offshore การแลกเงินเป็นสกุลต่างชาติ การซื้อขั้นต่ำต่อครั้งที่ต้องใช้เงินมาก ๆ ค่าธรรมเนียมที่ได้ยินว่าแพง ฯลฯ
  • บางคนไม่รู้จะเริ่มต้นลงทุนอย่างไรดี... ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเพื่อลงทุนเท่าไหร่... ไม่รู้ว่าต้องไปติดต่อที่ไหน ทำให้หลายคนล้มเลิกความตั้งใจที่จะเริ่มลงทุนต่างประเทศ เพราะเข้าใจว่า มันเป็นเรื่องของคนที่มีเงินเยอะ หรือต้องมีพอร์ตใหญ่มากเท่านั้น แต่สมัยนี้มีวิธีโกอินเตอร์ ลงทุนต่างประเทศแบบง่าย ๆ คือการลงทุนใน “กองทุนหุ้นต่างประเทศ” ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมของไทย สามารถซื้อขายได้ในสกุลเงินบาทไทย มีข้อมูลให้นักลงทุนได้ศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ของกองทุนอย่างครบครัน
ปรับพอร์ตให้โต ในโลกหลังโควิด ปีแห่งการกระจายการลงทุน

ลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ มีทางเลือกอะไรบ้าง

มีกองทุนต่างประเทศให้เลือกลงทุนมากมาย ผมขอแบ่งกลุ่มใหญ่ ๆ เข้าใจง่าย ให้สองกลุ่ม

หนึ่ง...กองทุนหุ้นต่างประเทศแบบอิงดัชนี (Index Fund)
  • คือ กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในหุ้นทุกตัวตามดัชนีตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกที่ใช้อ้างอิง บริหารโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive Management) โดยผู้จัดการกองทุนจะลงทุนหุ้นที่ลิสต์อยู่ในดัชนีนั้น ๆ ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง
  • ถ้าเทียบกับตลาดหุ้นไทย Index Fund ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ SET50 ก็คือหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่อง 50 ตัวแรกของตลาดหุ้นไทย กองทุนที่ลงทุนใน SET50 เราเรียกว่า กองทุน SET50 นั่นเอง
  • กรณีกองทุนต่างประเทศ ก็มี Index Funds ที่ลงทุนตามดัชนีในทวีปหรือประเทศต่าง ๆ ทั้งอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม ฯลฯ นั่นก็จะเป็นโอกาสในการกระจายการลงทุน เลือกสรรได้ทุกตลาดชั้นนำทั่วโลก

สอง...กองทุนหุ้นต่างประเทศแบบลงทุนตามธีม (Thematic Fund)
  • คือ กองทุนหุ้นที่ลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงจากกระแสการเปลี่ยนแปลงและเทคโนโลยีดิสรัปชัน บริหารโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก (Active Management) โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดหุ้นเด่นจากทั่วโลกโดยไม่ยึดติดกับภูมิภาค แต่สำคัญที่สุดคือ หุ้นที่ลงทุนนั้น จะต้องเข้ากับธีมการลงทุนของกองทุน ที่สามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต ที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก
  • ตัวอย่างเมกะเทรนด์ใน 6 ธีมการลงทุนหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต เช่น
    1. กลุ่มสื่อออนไลน์
    2. กลุ่มนวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพ
    3. กลุ่มยานยนต์อนาคต
    4. กลุ่มเทคโนโลยีการเงิน
    5. กลุ่มการศึกษาสมัยใหม่ และ
    6. กลุ่มอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีธีมการเติบโตใหม่ ๆ ในต่างประเทศ ที่กำลังถูกจับตามองว่าจะเป็นธีมที่มาแรง ได้แก่
ปรับพอร์ตให้โต ในโลกหลังโควิด ปีแห่งการกระจายการลงทุน
  • ธีมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตแห่งอนาคต ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม และโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของยุคดิจิทัล
  • ธีมที่ตอบโจทย์เรื่อง Climate Change โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยสร้างการเติบโตเพื่อแก้ไขปัญหา หรือรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น Data Center พลังงานสะอาด พลังงานทดแทน การเกษตรยุคใหม่ เทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การบริหารจัดการน้ำ ธุรกิจสุขภาพ หรือผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ เช่น เครื่องฟอกอากาศ การป้องกัน/รักษาโรคภูมิแพ้ ที่สำคัญคือ เป็นธีมการลงทุนที่เป็นเมกะเทรนด์ซึ่งได้รับประโยชน์จากนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศหลัก ๆ ทั่วโลกที่กำลังเป็นที่จับตามองมากขึ้น

ตัดสินใจเริ่มลงทุน

  • หลักในการเลือกกองทุน ไม่ว่าจะลงทุนในกองทุนหุ้นไทย หรือหุ้นต่างประเทศ ยังคงเหมือนกัน คือ ต้องศึกษาทำความเข้าใจนโยบายการลงทุนว่าเป็นอย่างไร (ประเทศใด หุ้นธีมอะไร ลงทุนผ่านกองทุนอะไร) ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่กองทุนเรียกเก็บสูง หรือต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนลักษณะคล้ายกัน ดูผลงานในอดีต รวมทั้งดูรายชื่อหุ้น 10 ตัวแรกที่กองทุนถืออยู่ ซึ่งมักจะมีน้ำหนักการลงทุนสูงกว่าครึ่งพอร์ต มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหน่วยลงทุน และเพื่อดูว่าเราในฐานะนักลงทุน เห็นด้วยกับรายชื่อหุ้นเหล่านั้นหรือไม่ อย่างไร
  • การเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด นักลงทุนอาจจะพิจารณากองทุนประหยัดภาษี SSF และ RMF ซึ่งมีกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ด้วยธีมการลงทุนในหุ้นอนาคตไกล โอกาสเติบโตสูงไปกับเทรนด์โลก ให้ลงทุนได้อย่างมั่นใจพร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษี ที่ธนาคารกรุงศรีครบจบในที่เดียว เพราะได้คัดสรรกองทุนรวมหลากหลายประเภท จากหลายบลจ. ที่คัดแล้วว่าดี โดยมี SSF | RMF 3 คู่ที่คัดมาแล้วว่าเด่น มาเล่าให้ฟังดังนี้
    • KFCLIMASSF | KFCLIMARMF โอกาสกำไรจากเทคโนโลยีรักษ์โลก เน้นการลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ มีการนำเทคโนโลยีมาช่วย “ลด” ผลกระทบ หรือ “ปรับ” รูปแบบธุรกิจให้สามารถเติบโตท่ามกลางภาวะ Climate Change
    • KFGGSSF | KFGGRMF คัดเฉพาะหุ้นเด็ด เติบโตเด่นจากทั่วโลก ใช้กลยุทธ์คัดสรรหุ้นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตโดดเด่นจากตลาด โดยไม่ยึดติดกับภูมิภาคหรืออุตสาหกรรม แต่จะลงทุนตามเทรนด์การเติบโตในระยะยาว เช่น กลุ่มธุรกิจสื่อออนไลน์ Digital Healthcare การค้าปลีกยุคใหม่ (E-commerce) Software เป็นต้น
    • PRINCIPAL iPROPEN-SSF ลงทุนในตราสารภาคอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพดี ที่มีรายได้ค่าเช่ามั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และ PRINCIPAL iRPOPRMF ลงทุนในตราสารภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเน้นลงทุนในประเทศไทย และสิงคโปร์เป็นสัดส่วนหลัก โดยบางจังหวะกองทุนอาจเข้าลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และออสเตรเลีย เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม
ไม่ว่าเราจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมแบบใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ต้องเริ่มลงทุน” เริ่มเมื่อไหร่ ก็ดีเมื่อนั้น และ “ลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจ” จงทำการลงทุนให้เป็นเรื่องง่าย ไม่ซับซ้อน และทำเป็นประจำ จึงจะสร้างความมั่นคงให้ได้อย่างยั่งยืนครับ
ปรับพอร์ตให้โต ในโลกหลังโควิด ปีแห่งการกระจายการลงทุน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
  • SSF เป็นกองทุนรวมเพื่อการออม และ RMF เป็นกองทุนที่ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
  • KFCLIMASSF, KFCLIMARMF, PRINCIPAL iPROPEN-SSF และ PRINCIPAL iPROPRMF อาจทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินในหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศที่กองทุนถืออยู่ โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมฯ โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และในกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงิน

ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • PRINCIPAL iPROPRMF ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรม จึงอาจมีความเสี่ยง และความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
  • PRINCIPAL iPROPEN-SSF และ PRINCIPAL iPROPRMF ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา