ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร
รอบรู้เรื่องภาษี
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร พร้อมวิธีคำนวณแบบง่าย ๆ

icon-access-time Posted On 07 สิงหาคม 2568
By Krungsri The COACH
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรื่องภาษีนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรก ๆ ที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” หรือ “VAT” ซึ่งเป็นภาษีที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อขายสินค้า และบริการ ในบทความนี้ Krungsri The COACH จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาษีมูลค่าเพิ่มและไขข้อข้องใจแบบครบทุกประเด็น พร้อมวิธีคำนวณง่าย ๆ เพื่อช่วยให้คุณจัดการภาษีธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ และถูกต้องตามกฎหมาย

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “VAT” คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการขายสินค้า หรือการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยผู้ประกอบการจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อในอัตราร้อยละ 7 (ตามอัตราปัจจุบัน) แล้วนำส่งให้กับกรมสรรพากร
 

ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ผู้ประกอบการที่มีลักษณะเข้าข่ายตามเงื่อนไขต่อไปนี้ มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน
  • ผู้ประกอบกิจการที่มีการวางแผนเปิดกิจการ โดยสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการเตรียมการเพื่อประกอบกิจการจริง และจำเป็นต้องซื้อสินค้าหรือรับบริการที่อยู่ในบังคับของภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน หรือติดตั้งเครื่องจักร โดยสามารถยื่นจดทะเบียนล่วงหน้าได้ภายใน 6 เดือน ก่อนเริ่มเปิดกิจการ
  • ผู้ประกอบการที่อยู่ต่างประเทศ แต่มีตัวแทนขายสินค้า หรือให้บริการในไทย โดยตัวแทนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจดทะเบียน
 

ใครบ้างที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

มีหลายธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น
  • ผู้ประกอบกิจการที่ขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ปุ๋ย และอาหารสัตว์
  • ผู้ประกอบกิจการที่ขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และตำราเรียน
  • ผู้ประกอบกิจการที่ให้บริการขนส่งในไทย
  • ผู้ประกอบกิจการที่ส่งออกของในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
  • ผู้ประกอบกิจการที่ให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในไทย

จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่ไหน ?

ผู้ประกอบการท่านใดที่เช็กแล้วว่า ธุรกิจของตัวเองเข้าข่ายต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.01) ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร แต่ถ้าไม่สะดวก ก็สามารถไปยื่นคำขอที่สำนักงานสรรพากรในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการของท่านตั้งอยู่ได้เลย
 

เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

การเตรียมเอกสารให้พร้อมจะช่วยให้การจดทะเบียนรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเอกสารหลักที่ต้องใช้ มีดังนี้
  • แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) จำนวน 3 ฉบับ
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้จัดการ หรือผู้ประกอบการ
  • สำเนาทะเบียนบ้านที่ตั้งของสถานประกอบการ
  • ภาพถ่ายสถานประกอบการ และแผนที่แสดงที่ตั้งโดยสังเขป
  • สำเนาสัญญาเช่า (กรณีเช่า) หรือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ (กรณีเป็นเจ้าของ)
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล)
  • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทน) พร้อมติดอากรแสตมป์ 10 บาท และสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ
 
สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำหลังจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

หลังจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการต้องทำอะไรบ้าง ?

หลังจากที่คุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว จะมีอยู่ 3 ข้อหลัก ๆ ที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย Krungsri The COACH สรุปไว้ให้แล้วดังนี้
 

1. เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และออกใบกำกับภาษี

สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการจะต้องทำก็คือการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากมูลค่าสินค้า หรือบริการ และทำใบกำกับภาษี (Tax Invoice) ให้กับผู้ซื้อสินค้า หรือผู้ให้บริการในทุกครั้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงการเรียกเก็บภาษี
 

2. จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด

ผู้ประกอบการต้องทำรายงานภาษีเพื่อบันทึกธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ VAT ด้วย โดยจะมี 3 รายงาน ดังนี้
  • รายงานภาษีซื้อ เป็นรายงานที่บันทึกภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการได้จ่ายไป เมื่อซื้อสินค้า หรือบริการจากผู้ขายที่จดทะเบียน VAT เพื่อนำมาใช้ในกิจการ
  • รายงานภาษีขาย เป็นรายงานที่บันทึกภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บ หรือพึงเรียกเก็บจากลูกค้า เมื่อมีการขายสินค้า หรือให้บริการ
  • รายงานสินค้าและวัตถุดิบ เป็นรายงานที่แสดงจำนวนสินค้าคงเหลือ และวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบกิจการ
 

3. ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ.30

ผู้ประกอบการจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมียอดขายในเดือนนั้น ๆ หรือไม่ก็ตาม และถ้ามีสถานประกอบการหลายแห่ง จะต้องยื่นแยกเป็นรายสาขา เว้นแต่จะได้รับอนุมัติให้ยื่นรวมกันจากสำนักงานสรรพากร
 
ภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดยังไง

วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแบบง่าย ๆ

การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำส่งสรรพากรนั้น ไม่ยุ่งยากเลย แค่คำนวณจากผลต่างระหว่าง “ภาษีขาย” และ “ภาษีซื้อ” ของเดือนนั้น ๆ ด้วย สูตร : “ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = ค่าธรรมเนียมภาษีที่ต้องนำส่ง หรือจำนวนเงินส่วนต่างที่สามารถขอคืนภาษีได้” โดยจะมีเกณฑ์การเสียภาษี 2 กรณี ดังนี้
  • ในกรณีที่ภาษีขาย “มากกว่า” ภาษีซื้อ : ผู้ประกอบการต้องนำส่วนต่างไปชำระที่กรมสรรพากร
  • ในกรณีที่ภาษีขาย “น้อยกว่า” ภาษีซื้อ : ผู้ประกอบการสามารถขอคืนส่วนต่างเป็นเงินสด หรือยกยอดไปใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไปได้
 

ตัวอย่างการคำนวณ VAT แบบต้องจ่ายภาษี (ภาษีขาย > ภาษีซื้อ)

บริษัท A ซื้อสินค้าเพื่อมาจำหน่ายต่อในราคา 50,000 บาท และถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เป็นเงิน 3,500 บาท (ภาษีซื้อ) เท่ากับว่า บริษัท A จ่ายเงินซื้อสินค้าไป 53,500 บาท

ต่อมาบริษัท A ได้ขายสินค้านี้ให้กับลูกค้าในราคา 80,000 บาท และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เป็นเงิน 5,600 บาท (ภาษีขาย) ทำให้บริษัท A ได้รับเงินจากลูกค้าทั้งสิ้น 85,600 บาท

บริษัท A สามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ดังนี้
  • ภาษีขาย = 5,600 บาท
  • ภาษีซื้อ = 3,500 บาท
  • ภาษีที่ต้องนำส่ง = 5,600 - 3,500 = 2,100 บาท

เท่ากับว่า บริษัท A จะต้องจ่ายภาษีให้กับสรรพากรเป็นจำนวนเงิน 2,100 บาท นั่นเอง
 

ตัวอย่างการคำนวณ VAT แบบได้เงินภาษีคืน (ภาษีขาย < ภาษีซื้อ)

บริษัท B ซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อใช้ในกิจการ ราคา 200,000 บาท และถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เป็นเงิน 14,000 บาท (ภาษีซื้อ)

ในเดือนเดียวกัน บริษัท B มียอดขายสินค้าทั้งหมด 60,000 บาท และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เป็นเงิน 4,200 บาท (ภาษีขาย)

บริษัท B สามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ดังนี้
  • ภาษีขาย = 4,200 บาท
  • ภาษีซื้อ = 14,000 บาท
  • เครดิตภาษี = 4,200 - 14,000 = -9,800 บาท

ในกรณีนี้ บริษัท B ไม่ต้องชำระภาษี และมีเครดิตภาษี 9,800 บาท ซึ่งสามารถเลือกขอคืนเป็นเงินสด หรือยกยอดไปใช้หักลบกับภาษีขายในเดือนถัดไปได้

เราสามารถยื่นชำระภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่ไหนบ้าง ?

การยื่นแบบ ภ.พ.30 และชำระภาษี (ถ้ามี) สามารถทำได้หลายช่องทางเลย ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานสรรพากรในพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการของคุณตั้งอยู่ หรือจะยื่นชำระภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรก็ได้ โดยมีวิธีชำระเงินหลัก ๆ ดังนี้
  • ชำระแบบเงินสด
  • ชำระด้วยเช็คขีดคร่อมสั่งจ่าย "กรมสรรพากร"
  • ชำระด้วยบัตรเครดิต
  • ชำระด้วยบัตร TAX SMART CARD

หากไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีโทษอะไรไหม ?

หากผู้ประกอบการมีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้องตามกำหนด ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ถ้าถูกตรวจสอบพบจะต้องรับผิดชอบ ดังนี้
  • มีโทษทางอาญา โดยจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มย้อนหลังตามยอดขายที่เกิดขึ้นจริง
  • เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือน
  • เสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ

สามารถออกจากระบบหลังจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ไหม ?

ผู้ประกอบการสามารถถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หากกิจการมีรายรับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปี โดยสามารถยื่นคำขอถอนทะเบียน (แบบ ภ.พ.08) ต่อกรมสรรพากรเพื่อพิจารณาอนุมัติ
 
สรุปเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องทำความเข้าใจ ตั้งแต่เงื่อนไขการจดทะเบียน หน้าที่หลังการจด ไปจนถึงวิธีการคำนวณ และยื่นภาษี การปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และหลีกเลี่ยงโทษปรับที่ไม่จำเป็น แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการในระยะยาวอีกด้วย


อ้างอิง
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา