วิธีปรับโครงสร้างหนี้แบบ “แฮร์คัท”
รอบรู้เรื่องยืมเงิน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

แฮร์คัท เทคนิคเคลียร์หนี้แบบล้างกระดานที่ใช้ได้จริง

icon-access-time Posted On 09 กันยายน 2568
By Krungsri The COACH
หนี้” เป็นคำที่หลายคนคุ้นหูกันดี และเป็นปัญหาเรื้อรังมานานสำหรับใครหลาย ๆ คน ที่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือในบางคนก็อาจจะใช้เกินตัวไปซะหน่อยคือเป็นหนี้บัตรเครดิต และแน่นอนว่าเมื่อเราเป็นหนี้ก็จะมีบางครั้งที่เราจ่ายหนี้ไม่ตรงบ้าง ขาดการส่งหนี้บ้าง ทำให้บางเดือนเจ้าหนี้ก็จะโทรมาทวงถามหนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะโดนยึดทรัพย์สิน ทางออกของปัญหาหนี้ไม่ได้มีแค่การจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ แต่เราควรมองหาวิธีการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะกับสภาพการเงินของตัวเอง ซึ่งการปรับโครงสร้างหนี้ก็มีหลายรูปแบบ และหนึ่งในวิธีที่น่าสนใจคือ ‘แฮร์คัทหนี้’ Krungsri The COACH จะพาทุกคนมาพบกับเทคนิคที่สามารถช่วยให้คุณหลุดพ้นจากภาระหนี้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
แฮร์คัท คืออะไร?

"แฮร์คัท" คืออะไร ?

Hair Cut (แฮร์คัท) คือ กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้โดยลูกหนี้เจรจาขอส่วนลดจากเจ้าหนี้แล้วจ่ายหนี้ทั้งหมดเพื่อปิดบัญชีทันที พูดง่าย ๆ คือ ตกลงกับเจ้าหนี้ว่าจะลดหนี้ที่ติดค้างกันให้เหลือที่ต้องจ่ายคืนเท่าไร โดยถ้าต้องการเคลียร์หนี้จบทันที ก็ทำการตกลงกับเจ้าหนี้ว่าจะขอลดหนี้ที่ติดค้าง จากนั้นก็ขอจ่ายหนี้ก้อนนั้นเพียงครั้งเดียว

ตัวอย่างเช่น มียอดหนี้ 100,000 บาท ขอลดเหลือ 80,000 บาทแล้วจ่ายเพื่อปิดบัญชีทันที แต่หากไม่มีเงินเพียงพอในการเคลียร์หนี้ให้จบในครั้งเดียว ก็สามารถเจรจาขอลดหนี้ด้วยการจ่ายหนี้เป็นงวด ๆ ภายในเวลาที่กำหนด ขึ้นอยู่กับนโยบายช่วยเหลือของแต่ละธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่จะพิจารณาตามสภาพคล่องของลูกหนี้

แฮร์คัทเหมาะกับลูกหนี้แบบไหน ?

การทำแฮร์คัทหนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับลูกหนี้ที่กำลังเผชิญวิกฤตทางการเงิน ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ แต่ยังมีความตั้งใจจริงในการปลดภาระหนี้ให้หมดสิ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีเงินก้อนสำรอง แม้จะไม่ครอบคลุมยอดหนี้ทั้งหมด แต่ก็พร้อมนำมาใช้เพื่อปิดบัญชีหนี้ให้เร็วที่สุดตามข้อตกลงกับเจ้าหนี้ วิธีนี้จึงสะท้อนถึงความรับผิดชอบ และเป็นการหาทางออกร่วมกันอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหาให้จบลงอย่างยั่งยืน

แฮร์คัทหนี้ผ่อนชำระได้ไหม ?

แม้ว่าในทางทฤษฎี การแฮร์คัทจะหมายถึงการจ่ายหนี้ก้อนเดียวเพื่อปิดบัญชี แต่ในทางปฏิบัติ ลูกหนี้สามารถเจรจาขอผ่อนชำระยอดหนี้ที่ลดแล้วเป็นงวด ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 3 - 6 เดือน ขึ้นอยู่กับการตกลง และนโยบายของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง

ส่องมุมมองลูกหนี้ ได้ผลดีผลเสียอย่างไรกับการทำ Hair Cut หนี้

เมื่อเข้าใจหลักการแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวลูกหนี้เอง การทำแฮร์คัทเปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งข้อดี และข้อเสียที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนตัดสินใจ

ข้อดีของการทำแฮร์คัทหนี้ในฝั่งลูกหนี้

  • ช่วยลดภาระหนี้เร็วขึ้น แม้จะมีเงินไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้เต็มจำนวน
  • ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยในระยะยาว
  • ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อไม่มีหนี้คงค้าง

ข้อเสียของการทำแฮร์คัทหนี้ในฝั่งลูกหนี้

  • เสียประวัติการเป็นลูกค้าที่ดี การทำ Haircut หมายถึงลูกหนี้มีปัญหาจริง ไม่สามารถชำระหนี้ตามปกติได้จนกระทบประวัติทางสินเชื่อของธนาคาร ซึ่งส่งผลต่อเครดิตบูโรโดยตรง
  • เสียโอกาสในการขอสินเชื่อ เนื่องจากประวัติการค้างชำระหนี้ในอดีต ทำให้ขอสินเชื่อใหม่ได้ยากขึ้น
  • ภาระหนี้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการค้างชำระ ตามระยะเวลาที่ค้าง
  • เสียค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย ในกรณีที่ถูกสถาบันการเงินฟ้องคดี
  • กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันและครอบครัว เนื่องจากกังวลกับภาระหนี้คงค้าง
 
Hair cut มีประโยชน์ยังไง

สามารถขอแฮร์คัทหนี้ได้อย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง

สำหรับลูกหนี้ที่พิจารณาแล้วว่าการทำแฮร์คัทคือทางออกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง การเริ่มต้นกระบวนการก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน โดยมีขั้นตอนสำคัญที่ควรปฏิบัติ ดังนี้

1. เจรจาและตกลงกับเจ้าหนี้

ขั้นตอนแรกคือการเริ่มต้นติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้โดยตรง เพื่อแจ้งความประสงค์ขอปรับโครงสร้างหนี้ด้วยวิธีแฮร์คัท และเจรจาต่อรองยอดหนี้ที่ต้องการให้ลดลง รวมถึงเงื่อนไขการชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายครั้งเดียวหรือผ่อนชำระเป็นงวด

2. รอเอกสารยืนยัน

หลังจากเจรจาได้ข้อสรุปที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่ายแล้ว ห้ามชำระเงินก่อนเด็ดขาด แต่ให้รอรับเอกสารยืนยันข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้เป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าหนี้ก่อนเสมอ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญ

3. ตรวจสอบเอกสาร

เมื่อได้รับเอกสารแล้ว ควรอ่านและตรวจสอบรายละเอียดให้ถี่ถ้วน ทั้งยอดหนี้ใหม่หลังหักส่วนลด กำหนดการชำระเงิน และข้อมูลอื่น ๆ ว่าตรงตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ หากมีข้อสงสัยให้รีบสอบถามเจ้าหน้าที่ทันที

4. เตรียมเอกสารส่วนตัว

เตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการทำสัญญา เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือเอกสารอื่น ๆ ที่สถาบันการเงินร้องขอ เพื่อให้กระบวนการอนุมัติ และจัดทำเอกสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว

5. ชำระหนี้ตามเงื่อนไข

เมื่อเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย ให้ดำเนินการชำระเงินตามยอด และภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ในข้อตกลงอย่างเคร่งครัด พร้อมเก็บหลักฐานการชำระเงินไว้ทุกครั้ง เช่น สลิปการโอนเงิน หรือใบเสร็จรับเงิน

6. ขอเอกสารยืนยันการชำระหนี้

หลังจากชำระหนี้ครบถ้วนตามข้อตกลงแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญมากคือ การติดต่อขอ “หนังสือยืนยันการปิดบัญชี” หรือ “ใบปลอดหนี้” จากสถาบันการเงิน เพื่อเป็นหลักฐานว่าภาระหนี้สินดังกล่าวได้สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์แล้ว

หมายเหตุ :
  • การทำแฮร์คัทหนี้จะส่งผลต่อประวัติข้อมูลเครดิต (เครดิตบูโร) เนื่องจากเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ที่เกิดจากการค้างชำระ จึงควรศึกษาผลกระทบให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ
  • แม้การเจรจาต่อรองจะเป็นสิทธิ์ของลูกหนี้ แต่เมื่อได้ข้อตกลงร่วมกับเจ้าหนี้แล้ว ถือเป็นข้อผูกมัดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อให้กระบวนการสำเร็จลุล่วง
 

ไม่อยากจ่ายหนี้เต็มจำนวน ชวนกันมา Hair Cut หนี้ดีไหม ?

ความคิดที่ว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” แล้วรอให้ธนาคารเสนอส่วนลดให้เองนั้น อาจไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องเสมอไป ในความเป็นจริง การที่ธนาคารยอมทำแฮร์คัท เป็นการมองภาพใหญ่เพื่อป้องกันปัญหาที่รุนแรงกว่า คล้ายการจัดการภูเขาน้ำแข็งที่มองไม่เห็นใต้น้ำ

การทำแฮร์คัทจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธนาคารลดความเสี่ยง ผ่อนหนักให้เป็นเบา ดีกว่าปล่อยให้หนี้กลายเป็นหนี้เสียทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การแฮร์คัทจึงไม่ใช่ทางลัดสำหรับคนไม่อยากจ่ายหนี้เต็มจำนวน แต่เป็นทางออกสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินจริง ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อกลับมายืนได้อีกครั้ง
 

สรุป

ในวันที่เราตัดสินใจยื่นกู้ เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องไม่ว่าจะเป็นในส่วนธุรกิจ หรือส่วนตัว ก็อยากให้ลูกหนี้วางแผนทางการเงินให้ดี เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกรรมอื่น ๆ ในอนาคต และเพื่อช่วยให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้

เป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดหักเหลี่ยมตัดมุมกัน แต่เป็นการสนับสนุนเกื้อกูลกันในระบบเศรษฐศาสตร์การเงินมากกว่า ซึ่งหากเราประสบปัญหาจริง ๆ ธนาคารย่อมไม่ชักช้าพร้อมที่จะเจรจาและทำ “Hair Cut หนี้” หรือปรับลดหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้อยู่แล้ว ส่วนการช่วยเหลือจะเป็นจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ ธนาคารก็จะพิจารณาตามสภาพปัญหา และผลกระทบลูกหนี้แต่ละรายได้รับ เพื่อไม่ให้กระทบกับภาพรวมตามที่กล่าวมา

เมื่อเคลียร์ตัวเองได้แล้ว หากจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบกู้ยืมอีกในอนาคตก็อย่าลืมวางแผนการเงินให้พร้อม แต่การไม่พาตนเองเข้าสู่วงจรหนี้ถึงจะดีที่สุด และมีสติในทุกการใช้จ่ายนะทุกคน


อ้างอิง
https://taokaemai.com
https://www.set.or.th
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา