จดทะเบียนสมรส “กู้เงินแต่งงาน” หนี้นี้จ่ายเดี่ยว หรือ จ่ายร่วม
รอบรู้เรื่องยืมเงิน

จดทะเบียนสมรส “กู้เงินแต่งงาน” หนี้นี้จ่ายเดี่ยว หรือ จ่ายร่วม

icon-access-time Posted On 18 ธันวาคม 2568
By Krungsri The COACH
แม้ในหนังรักหลายเรื่องจะจบลงที่งานแต่งงาน แต่ในชีวิตจริง ความรักที่ยั่งยืนต้องมาพร้อมการวางแผนการเงินที่รอบคอบ เพราะชีวิตคู่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจและค่าใช้จ่ายไม่น้อย Krungsri The COACH พร้อมอยู่เคียงข้างทุกคู่รัก โดยรวบรวมเรื่องการเงินสำคัญที่คู่รักควรรู้ เพื่อช่วยให้ทุกก้าวของชีวิตคู่มั่นคง อุ่นใจ และก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นใจ
วางแผนการเงินก่อนจดทะเบียนสมรส

ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในงานแต่งมีอะไรบ้าง ?

ก่อนจะไปถึงวันแห่งความสุข การเตรียมงานแต่งงานมีรายละเอียด และค่าใช้จ่ายมากมายที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ตั้งแต่เรื่องสำคัญไปจนถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจมองข้ามไป เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น ลองมาดูรายการค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่มักจะเกิดขึ้นในงานแต่งงานกัน
  • ค่าสินสอดทองหมั้น : เป็นค่าใช้จ่ายตามประเพณีไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับการตกลงกันของทั้งสองครอบครัว
  • ค่าสถานที่จัดงาน : ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม เรือนไทย หรือร้านอาหาร มักเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดก้อนหนึ่ง
  • ค่าอาหารและเครื่องดื่ม : คิดตามจำนวนแขก อาจเป็นรูปแบบโต๊ะจีน บุฟเฟต์ หรือค็อกเทล
  • ค่าชุดแต่งงาน : ทั้งชุดเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบเช่า เช่าตัด หรือสั่งตัดใหม่
  • ค่าแต่งหน้าทำผม : สำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาว และอาจรวมถึงครอบครัวหรือเพื่อนเจ้าสาว
  • ค่าช่างภาพและวิดีโอ : ทั้งการถ่ายพรีเวดดิ้งและบันทึกภาพบรรยากาศในวันงานจริง
  • ค่าตกแต่งสถานที่ : เช่น ซุ้มดอกไม้ แบ็กดรอปถ่ายภาพ หรือการจัดแสงสีเสียงภายในงาน
  • ค่าการ์ดเชิญและของชำร่วย : ของที่ระลึกสำหรับแขกที่มาร่วมแสดงความยินดี
  • ค่าพิธีการ และดนตรี : เช่น ค่าพิธีกร วงดนตรี หรือค่าใช้จ่ายในพิธีสงฆ์ และพิธีรดน้ำสังข์
  • ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ : เช่น ค่าแหวนแต่งงาน หรือค่าใช้จ่ายจิปาถะที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเตรียมงาน

ค่าใช้จ่ายของงานแต่งแต่ละขนาด ใช้เงินประมาณกี่บาท ?

ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการแต่งงาน จะมีหลัก ๆ อย่างแรกเลยคือ ค่าจัดงานแต่งงาน หรือค่าสถานที่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่กระทบต่อการวางแผนงบประมาณในการจัดงานแต่งงานมาก ๆ ส่วนจะต้องวางแผนใช้เงินเท่าไหร่ดี จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับความพอใจ และความสะดวกของทางญาติฝ่ายหญิง และฝ่ายชาย

ซึ่งก่อนอื่นทั้งคู่ควรจะต้องมีตัวเลือกที่ชัดเจนกันว่า คิดจะจัดงานขนาดใหญ่แค่ไหน และควรพูดคุยกับครอบครัวทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เพราะแต่ละครอบครัวมักมีความต้องการไม่เหมือนกัน
 

1. การจัดงานแต่งงานขนาดเล็ก

ถ้าเป็นงานขนาดเล็ก ที่แขกในงานไม่เกิน 50 คน สามารถจัดที่หอประชุมสถานที่ราชการ หรือหอประชุมโรงเรียนต่าง ๆ ได้ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 20,000 บาท หรือสามารถจัดที่บ้านฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายได้เช่นกันซึ่งจะช่วยประหยัดค่าสถานที่อีกด้วย ส่วนค่าอาหาร สามารถจ้างแม่ครัวกับพนักงานเสิร์ฟ โดยเลือกเมนูได้ตามใจ ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ จะไปอยู่ที่วัตถุดิบ รวม ๆ แล้วประมาณ 10,000 – 30,000 บาท
 

2. การจัดงานแต่งงานขนาดกลาง

ถ้าเป็นงานขนาดกลาง ที่แขกในงานตั้งแต่ 50 – 200 คน มักจะจัดตามห้องบอลล์รูมของโรงแรม ซึ่งจะมีแพ็กเกจราคาให้อยู่แล้ว โดยเริ่มต้นประมาณ 50,000 บาท ไปจนถึง 200,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จะรวมตกแต่งสถานที่ เช่น ประดับดอกไม้ ตั้งฉากถ่ายรูป หรือโต๊ะต้อนรับต่าง ๆ ให้ด้วย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโรงแรม

หรือเราอาจจะใช้หอประชุมของสถานที่ราชการ หรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ราคาอาจเบาลงมาหน่อย ที่ประมาณ 30,000 – 70,000 บาท ส่วนอาหารสามารถเลือกใช้ร้านหรือบริษัทที่รับทำ Food Catering หรือซื้อเป็นแพ็กเกจที่รวมกับค่าสถานที่ได้ ถ้าเป็นบุฟเฟต์จะคิดเป็นรายหัว ประมาณ 500 – 1,000 บาทต่อคน หรือคิดเป็นโต๊ะ ประมาณโต๊ะละ 2,000 บาทอย่างต่ำ เป็นต้น
 

3. การจัดงานแต่งงานขนาดใหญ่

หากเป็นงานขนาดใหญ่ ที่มีแขกตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป ส่วนใหญ่มักจัดงานที่โรงแรม หรือสถานที่จัดงานแต่งโดยค่าสถานที่ทั้งหมดจะมีตั้งแต่ 200,000 – 600,000 บาท หรือไปจนถึงหลักล้านเลยขึ้นอยู่กับจำนวนแขก และประเภทอาหารที่เลือก ถ้าเป็นงานค็อกเทลจะอยู่ที่ประมาณหัวละ 1,000 – 2,500 บาท หรือโต๊ะจีนจะอยู่ที่โต๊ะละ 10,000 บาทขึ้นไป บางโรงแรมอาจมีแพ็กเกจรวมค่าตกแต่งสถานที่มาให้อีกด้วย หากค่าใช้จ่ายถึงตามเกณฑ์เงื่อนไขที่โรงแรมกำหนด

นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นอีก เช่น ค่าชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ที่มีตั้งแต่เช่าที่หลักพันต้น ๆ ไปจนถึงชุดแต่งงานแบบสั่งตัด มูลค่าหลักแสนบาท ค่าแต่งหน้าทำผม ค่าถ่ายรูป Pre-Wedding ค่าช่างภาพในงาน ค่าการ์ดแต่งงาน ค่าของชำร่วย และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ ดูเหมือนเป็นค่าใช้จ่ายยิบย่อย แต่รวมแล้วก็เป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายเหมือนกัน
 
งานแต่งงานของบ่าวสาว

เงินเก็บไม่พอ ลองมองหาทางออกด้วย “สินเชื่อเพื่อแต่งงาน”

เมื่อเราพอจะรู้ค่าใช้จ่ายแบบคร่าว ๆ แล้ว ลำดับต่อมาต้องไปดูเงินเก็บว่าสัมพันธ์กันแค่ไหน ถ้าไม่ได้วางแผนเก็บเงินมาไว้มากพอ การขอสินเชื่อส่วนบุคคล แบบหมุนเวียน Krungsri iFIN สามารถช่วยตรงนี้ได้ที่ให้วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท ผ่อนได้ตั้งแต่ 12-60 เดือนเลย โดยเราสามารถขอสินเชื่อส่วนบุคคลได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ หรือผู้ค้ำประกัน สินเชื่อส่วนบุคคลแบบนี้จะยิ่งช่วยแบ่งเบาภาระด้านการเงินระหว่างช่วงวางแผนแต่งงานได้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตรงนี้เลย
 
Krungsri iFIN

*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว l อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี*
*ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติมที่ www.krungsri.com

เมื่องานแต่งงานจบลง โลกความจริงเริ่มต้น จะรับมือหนี้สินอย่างไรดี?

หลังจากงานฉลองอันชื่นมื่นสิ้นสุดลง ชีวิตจริงของคู่สมรสก็ได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับความรับผิดชอบทางการเงินที่ต้องจัดการร่วมกัน โดยเฉพาะหากมีการ “กู้เงินแต่งงาน” เกิดขึ้น สิ่งสำคัญทางกฎหมายที่ต้องเข้าใจคือ “การจดทะเบียนสมรส” เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทรัพย์สิน และหนี้สินบางอย่างกลายเป็นของร่วมกัน
 

ทำความเข้าใจ “สินสมรส” และ “หนี้ร่วม” ก่อนเริ่มต้นชีวิตคู่

ตามกฎหมาย เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว ทรัพย์สิน หรือรายได้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหามาได้หลังจากนั้นจะถือเป็น “สินสมรส” ซึ่งทั้งคู่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของร่วมกันคนละครึ่ง (ยกเว้นมรดกที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับ) ในทางกลับกัน หนี้สินที่เกิดขึ้นก็มีโอกาสกลายเป็น “หนี้ร่วม” ที่ต้องรับผิดชอบด้วยกันได้เช่นกัน

โดยทั่วไปแล้ว กฎหมายจะยึดหลักว่า “หนี้ของใครคนนั้นต้องรับผิดชอบ”

ดังนั้น หนี้ที่เกิดขึ้นก่อนแต่งงานจะยังคงเป็นหนี้ส่วนตัวของฝ่ายนั้น แต่สำหรับหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจดทะเบียนสมรส จะแบ่งได้เป็น 2 กรณีหลัก ๆ คือ หนี้ส่วนตัว และหนี้ร่วมของครอบครัว มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้
 

หนี้ส่วนตัว

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปก่อหนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เช่น กู้เงินมาใช้จ่ายส่วนตัว โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้หรือให้การยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร หนี้ก้อนนั้นจะถือเป็นหนี้ส่วนตัวที่ผู้ก่อต้องรับผิดชอบเอง เจ้าหนี้จะสามารถเรียกร้องได้จากสินส่วนตัวของผู้ก่อหนี้ก่อน หากไม่เพียงพอจึงจะสามารถยึดสินสมรสได้เฉพาะในส่วนที่เป็นของผู้ก่อหนี้เท่านั้น
 

หนี้ร่วมของครอบครัว

หากหนี้นั้นเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของครอบครัวโดยรวม และเป็นการตัดสินใจร่วมกันของทั้งคู่ จะถือเป็นหนี้ร่วมที่ต้องรับผิดชอบด้วยกันโดยใช้สินสมรสในการชำระหนี้ เช่น
  • หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เช่น ค่าเล่าเรียนบุตร ค่ารักษาพยาบาลของคนในครอบครัว
  • หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสโดยตรง เช่น เงินกู้เพื่อต่อเติมซ่อมแซมบ้านที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
  • หนี้สินที่เกิดจากการทำธุรกิจร่วมกันของสามีภรรยา
 
การวางแผนการเงินหลังจดทะเบียนสมรส

เป็นหนี้หลังจดทะเบียนสมรส จัดการหนี้อย่างไรให้อยู่หมัด

อันที่จริง วิธีจัดการหนี้ที่ดีที่สุด คือไม่เป็นหนี้ตั้งแต่แรก แต่ถ้าหากว่าเป็นไปแล้ว และเป็นหนี้ที่ทำเพื่อครอบครัว เรามีวิธีจัดการหนี้ให้อยู่หมัดร่วมกัน โดยไม่เป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตคู่ ดังนี้
 

1. นำหนี้ทั้งหมดมารวมบัญชีกัน

โดยเขียนรายการแต่ละเดือนว่าทั้งคู่มีหนี้ที่ต้องชำระเท่าไหร่? ถ้าหนี้ทั้งหมดไม่ได้สูงเกินครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสองคนรวมกัน ถือว่ายังมีสภาพคล่องที่พอรับได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นจะเริ่มขาดสภาพคล่องแล้ว ควรรีบหาทางเคลียร์หนี้เก่า และห้ามก่อหนี้ใหม่เด็ดขาด
 

2. เรียงลำดับหนี้ทั้งหมดตามดอกเบี้ย จากมากไปหาน้อย

โดยพยายามเคลียร์หนี้ที่ดอกเบี้ยสูงที่สุดให้หมดก่อน หรือเรียงลำดับตามความจำเป็น เช่น หนี้บ้าน หรือหนี้รถ อาจจะต้องให้ความสำคัญสูงกว่าหนี้อื่น ๆ เพราะถ้าผิดนัดชำระจนถูกยึดทรัพย์สิน อาจทำให้ชีวิตลำบากขึ้น
 

3. สร้างเงินกองกลางสำหรับจ่ายหนี้

โดยแต่ละคนตกลงกันว่า จะหักรายได้มาใส่กองกลางเดือนละกี่เปอร์เซ็นต์ โดยรวมกันแล้วจะต้องเท่ากับหนี้ที่ต้องจ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ รับรองมีเงินเก็บเพียบเลยล่ะ
 

4. แบ่งสัดส่วนหนี้ของแต่ละคน

ถ้าหากไม่สะดวกรวมเงินกองกลาง อาจจะใช้วิธีแบ่งหนี้กันรับผิดชอบ เช่น ถ้าฝ่ายสามีมีเงินเดือนสูงกว่าภรรยามาก อาจจะให้รับผิดชอบก้อนที่ต้องจ่ายแพงสุดอย่างหนี้บ้านไป ส่วนภรรยารับหนี้รถ หรือหนี้อื่น ๆ ที่จ่ายน้อยลงมาหน่อย แบ่งทีมกันเคลียร์ไม่นานหนี้ก้อนใหญ่หมดไวเหมือนกัน
 

5. ถ้ามีหนี้นอกระบบ ต้องพยายามย้ายมาเป็นหนี้ในระบบให้ได้ก่อน

แปลงหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงให้เป็นหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่ำ เช่น การรีไฟแนนซ์ และไม่ก่อหนี้นอกระบบเพิ่ม สามารถปรึกษาธนาคารเพื่อขอขอกู้เงินในระบบเพื่อนำไปชำระหนี้นอกระบบ โดยสามารถขอได้ในรูปแบบสินเชื่อส่วนบุคคล
 

6. สำรวจสินทรัพย์ที่ไม่ได้ช่วยสร้างรายได้

นำรายการสินทรัพย์ที่มีทั้งหมดมาสำรวจว่าสินทรัพย์ไหนที่ไม่ได้ช่วยสร้างรายได้ แถมยังเป็นภาระค่าใช้จ่าย ควรขายออกไปก่อน อย่าเสียดาย ถ้าในอนาคตที่หนี้เริ่มเบาลงแล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมาซื้อใหม่ได้ ส่วนสินทรัพย์ไหนที่สามารถสร้างรายได้ได้ จะต้องพยายามรักษาไว้ให้มากที่สุด
 

7. พยายามหารายได้ทางที่สองเพิ่ม

ถ้าจะให้ดีควรเป็นคนละอย่างกับรายได้ทางที่หนึ่ง เช่น ถ้าเราเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ต้องเสียเวลาวันละ 8-10 ชั่วโมงที่ออฟฟิศอยู่แล้ว ถ้าหลังเลิกงานยังต้องไปขายของข้างนอกอีก อาจจะเหนื่อยเกินไป ถ้าเปลี่ยนมาเป็นขายออนไลน์ได้จะดีกว่า แต่จะดีที่สุดคือการพยายามสร้างรายได้ที่เป็น Passive Income เช่น สร้างรายได้จากค่าเช่า รายได้การลงทุนในหุ้นปันผล เป็นต้น

เรื่องหนี้สินอาจจะเป็นอะไรที่น่ากลัวจริง แต่ถ้าเรารู้วิธีรับมือกับมัน และบริหารหนี้ให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ดังนั้น เมื่อแน่ใจว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว ควรจะต้องเริ่มคิดเรื่องการเงินอย่างจริงจังไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่มีเรื่องให้มากังวลโดยเฉพาะเรื่องการเงิน เพื่อชีวิตรักจะได้ราบรื่นตลอดไป
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา