บัตรสะสมแต้มหรือบัตรสมาชิกเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทางร้านค้านำมาใช้เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ เป้าหมายหลักก็เพื่อให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อสินค้าอีก เราเห็นกันได้บ่อย ๆ จากร้านเครื่องดื่มที่ให้บัตรสะสมแต้ม กินครบ 10 แก้ว รับฟรี 1 แก้ว ในร้านค้าประเภทอื่น อาจจะมีการทำโปรโมชั่นลดราคาหรือทำบัตรสมาชิกสะสมแต้มตามมูลค่าสินค้าที่ซื้อภายใต้เงื่อนไข เมื่อสะสมแต้มครบตามกำหนด สามารถนำมาแลกของรางวัลหรือใช้แทนเงินสดได้
แต่คุณเคยสงสัยกันไหมว่า บัตรสะสมแต้มที่เราถือกันอยู่นี้ มันช่วยประหยัดเงินได้จริง ๆ หรอ การจะตอบคำถามนี้ได้ก็ต้องรวบรวมข้อมูลมาเปรียบเทียบกันดูก่อน เราลองมาสำรวจการใช้จ่ายของตัวเองกับบัตรสะสมแต้ม จาก 3 หัวข้อหลักตามนี้กันค่ะ
1. สังเกตว่าซื้อสินค้าจากบัตรสะสมแต้มบ่อยขนาดไหน
เช่น ปกติคุณอาจจะกินกาแฟวันละแก้ว ซื้อสินค้าที่ร้านสะดวกซื้อประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือช็อปปิ้งที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทุกวันอาทิตย์ ถ้าคุณทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอยู่แล้ว คุณจะเห็นข้อมูลค่าใช้จ่ายแต่ละตัวได้ชัดเจนขึ้น ทีนี้คุณลองถามตัวเองด้วยว่า สินค้าที่เราซื้อเนี่ย สิ่งไหนจำเป็นมาก สิ่งไหนจำเป็นน้อยในชีวิตประจำวันของคุณ
2. ดูเงื่อนไขและข้อจำกัดในการใช้แต้ม
จริงอยู่ว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับค่าอาหาร หรือค่าน้ำมันสำหรับเดินทางเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทำงานออฟฟิศอย่างเรา ๆ บางทีข้อจำกัดตัวเล็ก ๆ ก็ทำให้เรามองข้ามได้ เช่น ระยะเวลาที่สะสมแต้ม ราคาสินค้าขั้นต่ำหรือมีการจำกัดสาขาที่ใช้ มีหลายครั้งที่เราหมดสิทธิ์ใช้แต้มเพราะเลยระยะเวลาโปรโมชั่น ก็เท่ากับว่าเสียสิทธิ์ไปโดยปริยาย เพราะฉะนั้นการอ่านเงื่อนไขให้เข้าใจจึงช่วยให้เราใช้บัตรสะสมแต้มได้อย่างคุ้มค่า
3. ลองเทียบเป็นมูลค่าแต้มที่คุณได้รับ
จากข้อ 1-2 คุณจะได้จำนวนเงินที่คุณใช้จ่ายออกมาต่อเดือน ให้รวมถึงค่าสมัครบัตรด้วย (ถ้ามี) แล้วคำนวณมูลค่าจากแต้มที่คุณได้เทียบกับระยะเวลาที่คุณสามารถใช้แต้มได้กันดู เช่น
มีบัตรสะสมแต้มสำหรับเติมน้ำมัน โดยทุกครั้งที่เติม 1 ลิตร คุณจะได้รับ 1 แต้ม เมื่อครบ 500 แต้ม คุณสามารถแลกเป็นเงินสดได้ 100 บาท สมมติค่าน้ำมัน 25 บาทต่อลิตร และทุกเดือนคุณต้องจ่ายค่าน้ำมัน 2,500 บาท เท่ากับว่า ภายใน 1 เดือนคุณเติมน้ำมัน 100 ลิตร และสะสมได้ 100 แต้ม ระยะเวลาที่สามารถใช้แต้มได้ คือ 3 ปี เท่ากับว่าคุณจ่ายค่าน้ำมันไปทั้งหมด 2,500x12x3 = 90,000 บาท คุณสะสมทั้งสิ้น 90,000/25 = 3,600 แต้ม และได้กลับมาเป็นเงิน (3,600*100)/500 = 720 บาท คิดแล้วได้ส่วนลดจากบัตรสะสมแต้ม (720*100)/90,000 = 0.8% โดยประมาณ ถ้าไม่รวมราคาขึ้นลงของน้ำมันในแต่ละเดือน อาจจะไม่ได้เยอะเท่าไหร่
ถ้าลองเปรียบเทียบความคุ้มกับบัตรสะสมแต้มจากร้านกาแฟดูบ้าง ทุกครั้งที่ดื่มกาแฟแก้วละ 50 บาทแลกได้ 1 แต้ม ครบ 10 แต้มแลกกาแฟได้ฟรี 1 แก้ว บัตรสะสมมีอายุ 1 เดือน แปลว่า คุณต้องจ่าย 500 บาท ถึงจะได้กาแฟ 1 แก้วในมูลค่า 50 บาท เท่ากับว่าคุณได้รับส่วนลด 10% จากบัตรสะสมแต้มนี้ ส่วนลดที่คุณได้รับนั้นค่อนข้างมากขึ้นแต่ถามว่า จำเป็นไหมที่คุณจะต้องดื่มกาแฟจากร้านนี้ 10 แก้วใน 1 เดือน
สรุปว่า หากจะฟันธงว่า บัตรสะสมแต้มช่วยให้คุณประหยัดหรือฟุ่มเฟือยกว่าเดิมกันแน่ คุณจะต้องพิจารณาจากความจำเป็นที่จะต้องจ่ายเพื่อซื้อสินค้าเป็นพื้นฐาน ถ้ามีบัตรสะสมแต้มช่วยให้คุณประหยัดขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายอยู่แล้วในแต่ละเดือน ก็ถือว่า คุณใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างคุ้มค่า เลือกใช้บัตรสะสมแต้มให้เหมาะกับตัวเองก็ถือว่าเป็น
เคล็ดลับในการประหยัดเงินได้ แต่ถ้าโปรโมชั่นบัตรสะสมแต้มทำให้คุณมีค่าใช้จ่ายเพิ่มก็ไม่ต่างกับการที่คุณตกหลุมพรางทางการตลาด จริงไหมคะ