การเติบโตในสายอาชีพหรือการมองหาความท้าทายใหม่ ๆ ด้วยการเปลี่ยนงาน เป็นเรื่องปกติที่หลายคนเลือกทำเพื่อก้าวต่อไปในเส้นทางการทำงาน แต่ก่อนจะโบกมือลาที่ทำงานเดิม มีหนึ่งเรื่องทางการเงินที่มนุษย์เงินเดือนห้ามมองข้ามเด็ดขาด นั่นก็คือ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)” เงินออมที่คุณสะสมมาตลอดการทำงาน
เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนงาน หลายคนอาจลังเลว่าเงินก้อนนี้ควรถอนออกมาเลยดี หรือมีทางเลือกอื่นที่ให้ประโยชน์มากกว่า เพื่อช่วยให้คุณไม่พลาดสิทธิ์สำคัญและได้รับผลตอบแทนสูงสุด Krungsri The COACH ได้สรุปทุกทางเลือกในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้อย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และวางแผนการเงินในก้าวต่อไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนงาน หลายคนอาจลังเลว่าเงินก้อนนี้ควรถอนออกมาเลยดี หรือมีทางเลือกอื่นที่ให้ประโยชน์มากกว่า เพื่อช่วยให้คุณไม่พลาดสิทธิ์สำคัญและได้รับผลตอบแทนสูงสุด Krungsri The COACH ได้สรุปทุกทางเลือกในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้อย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และวางแผนการเงินในก้าวต่อไปได้อย่างราบรื่น
รู้จักกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ โดยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีข้อดีตรงที่สามารถเก็บเป็นเงินสำรองไว้ให้ลูกจ้างใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ออกจากงาน ทุพพลภาพ หรือเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัว ในกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต
โดยเงินจำนวนนี้จะมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสะสม” และเงินที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนให้อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสมทบ” แล้วนำไปฝากไว้ให้กับมืออาชีพอย่าง “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน” (บลจ.) ช่วยบริหารจัดการและนำเงินไปลงทุน เพื่อให้เงินในกองทุนของเรานั้นงอกเงย
โดยเงินจำนวนนี้จะมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสะสม” และเงินที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนให้อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสมทบ” แล้วนำไปฝากไว้ให้กับมืออาชีพอย่าง “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน” (บลจ.) ช่วยบริหารจัดการและนำเงินไปลงทุน เพื่อให้เงินในกองทุนของเรานั้นงอกเงย

กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ หักกี่เปอร์เซ็นต์ดีถึงจะคุ้มค่าที่สุด ?
หลายคนอาจเคยสงสัยว่า เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องหักกี่เปอร์เซ็นต์ ในการหักเงินสมทบนั้น กฎหมายได้กำหนดให้ลูกจ้างสะสมได้ตั้งแต่ 2-15% ของเงินเดือน และนายจ้างสมทบเข้าเป็นประจำทุกครั้งที่จ่ายเงินเดือนให้อีกในอัตราตั้งแต่ 2-15% ตามข้อบังคับของแต่ละบริษัท เพราะฉะนั้นถ้ามองในแง่ของการลงทุนแล้ว ยิ่งเราสะสมมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น และที่สำคัญเราสามารถนำ “เงินสะสม” ที่เราสะสมในแต่ละปี ไปหักลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
จะได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืนเมื่อไร ?
โดยปกติแล้วสมาชิกกองทุนมีสิทธิได้รับเงินคืนจากกองทุนเมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ทั้งลาออกจากงาน เกษียณอายุ โอนย้ายกองทุน หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต โดยจะได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมทั้งจำนวน ส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจะได้รับตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน
จะจัดการกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรดี เมื่อลาออกจากงาน ?
เป็นธรรมดาสำหรับมนุษย์เงินเดือนหน้าใหม่อย่างเราที่เมื่อทำงานมาสักพักหนึ่งแล้ว ก็เริ่มที่จะมองหาความก้าวหน้าในชีวิต รวมถึงการเติบโตในหน้าที่การงานด้วย เพราะฉะนั้นการตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมองหาความท้าทายใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนงาน อย่าลืมที่จะรักษาสิทธิต่าง ๆ ที่เราควรได้รับจากที่ทำงานเดิม โดยเฉพาะการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากบริษัทไหนมีกองทุนนี้ให้กับพนักงาน ไม่อย่างนั้นตัวเราเองนี่แหละที่อาจจะเสียประโยชน์ได้ ซึ่งวันนี้เราได้สรุปมาให้ทุกคนทั้งหมด 3 ทางเลือกด้วยกัน
แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนงาน อย่าลืมที่จะรักษาสิทธิต่าง ๆ ที่เราควรได้รับจากที่ทำงานเดิม โดยเฉพาะการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากบริษัทไหนมีกองทุนนี้ให้กับพนักงาน ไม่อย่างนั้นตัวเราเองนี่แหละที่อาจจะเสียประโยชน์ได้ ซึ่งวันนี้เราได้สรุปมาให้ทุกคนทั้งหมด 3 ทางเลือกด้วยกัน
วิธีที่ 1 : ฝากไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิมได้
โดยจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนต่อไป แต่จะไม่มีเงินสมทบ เพื่อรอให้เราพร้อมสำหรับการโอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ หรือกองทุนรวม RMF ก็ได้ แต่มีค่าธรรมเนียมการคงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 500 บาทต่อปี
วิธีที่ 2 : โอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ หรือกองทุนรวม RMF
ทั้งสองกรณีนี้ไม่ต้องเสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ แต่ถ้าหากที่ทำงานใหม่ ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็จะต้องนำเงินก้อนนี้ไปไว้ที่กองทุนรวม RMF for PVD แทน ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมาศึกษากันว่ามี บลจ. ที่ไหนเปิดรับโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพบ้าง
เมื่อโอนย้ายกองทุน PVD เข้า RMF for PVD ก็สามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้แต่ต้องเป็นกองทุน RMF for PVD ด้วยกันเท่านั้น
เมื่อโอนย้ายกองทุน PVD เข้า RMF for PVD ก็สามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้แต่ต้องเป็นกองทุน RMF for PVD ด้วยกันเท่านั้น
วิธีที่ 3 : นำเงินออกมาลงทุนต่อเอง หรือนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น
หากมนุษย์เงินเดือนคนไหนลาออกจากงานแล้ว และอยากจะสร้างความท้าทายด้วยการนำเงินไปเริ่มต้นลงทุน หรือนำไปใช้จ่ายในเรื่องที่ต้องการ ก็ต้องมาคำนวณดูว่าเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้มาจะยื่นภาษีอย่างไร และเท่าไหร่ ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้1. ถ้าอายุงานน้อยกว่า 5 ปี หรือลาออกจากกองทุน แต่ไม่ได้ลาออกจากงาน
คุณจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษี และจะต้องนำเงินที่ได้ทั้ง 3 ส่วน (เงินสมทบ ผลประโยชน์ของเงินสะสม และผลประโยชน์ของเงินสมทบ) มารวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
ณ ตอนนี้เราเป็นสมาชิก PVD โดยมียอดเงินสะสมอยู่ที่ 500,000 บาท เงินสมทบ 500,000 บาท ผลประโยชน์เงินสะสม 50,000 บาท และผลประโยชน์เงินสมทบ 50,000 บาท
หากเราลาออกจากงานในตอนนี้ ต้องนำเงินได้ทั้ง 3 ส่วน คือ เงินสมทบ ผลประโยชน์เงินสะสม และผลประโยชน์เงินสมทบ มารวมกับรายได้ของเราในปีนั้น เพื่อยื่นภาษีด้วย
500,000 + 50,000 + 50,000 = 600,000 บาท
2. ถ้าอายุงาน 5 ปีขึ้นไป แต่อายุไม่เกิน 55 ปี
สามารถเลือกได้ว่าจะนำไปคำนวณรวมกับเงินได้ทั้งปี หรือแยกคำนวณภาษีต่างหาก โดยไม่ต้องไปรวมกับเงินได้ประจำปีก็ได้
ในกรณีที่แยกคำนวณภาษี เราสามารถนำรายได้ส่วนนี้ไปหักค่าใช้จ่ายแบบพิเศษได้ 7,000 บาทต่ออายุงาน 1 ปี ส่วนที่เหลือสามารถหักออกได้อีกครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปรวมเป็นรายได้สุทธิ
ยกตัวอย่างเช่น
ณ ตอนนี้เราเป็นสมาชิก PVD โดยทำงานมาแล้ว 5 ปี และมียอดเงินสะสมอยู่ที่ 500,000 บาท เงินสมทบ 500,000 บาท ผลประโยชน์เงินสะสม 50,000 บาท และผลประโยชน์เงินสมทบ 50,000 บาท หากเราลาออกจากงานในปีนี้ จะต้องนำเงินได้ทั้งหมดมาคำนวณภาษี ดังต่อไปนี้
- นำเงินที่ได้จากกองทุน (เงินสมทบ + เงินผลประโยชน์ของเงินสะสมและเงินสมทบ) หักค่าใช้จ่ายพิเศษ จำนวน 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน 600,000 – (7,000 x 5) = 565,000 บาท
- เหลือเงินได้เท่าไหร่ ให้นำไปหักออกอีกครึ่งหนึ่ง >> 565,000 – 282,500 = 282,500 บาท
- สุดท้ายจึงนำเงินได้ที่เหลือ 282,500 บาท ไปเป็นรายได้สุทธิ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ โดยจะไม่ได้สิทธิยกเว้นภาษีสุทธิขั้นแรก 150,000 บาท
3. ถ้าอายุสมาชิกกองทุน 5 ปีขึ้นไป และอายุ 55 ปีขึ้นไป จะไม่ต้องเสียภาษี
แนะนำวิธีคิดเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบง่าย ๆ
เพื่อให้เห็นภาพเงินออมเพื่อการเกษียณของเราชัดขึ้น และเข้าใจว่าในแต่ละเดือนเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเราเพิ่มขึ้นเท่าไร ลองมาดูวิธีคำนวณเงินสมทบแบบง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำตามได้กัน
ตัวอย่าง : คุณเอ มีเงินเดือน 30,000 บาท และบริษัทมีนโยบายให้สะสมเงินเข้ากองทุนได้ 5% และนายจ้างจะสมทบให้อีก 5% เท่ากัน
- คำนวณเงินสะสมของลูกจ้าง (หักจากเงินเดือนของคุณเอในแต่ละเดือน) : 30,000 บาท x 5% = 1,500 บาทต่อเดือน
- คำนวณเงินสมทบของนายจ้าง : 30,000 บาท x 5% = 1,500 บาทต่อเดือน
- รวมเป็นเงินเข้ากองทุนทั้งหมดต่อเดือน : 1,500 + 1,500 = 3,000 บาทต่อเดือน
- คิดเป็นยอดรวมต่อปี (ยังไม่รวมผลตอบแทน) : ใน 1 ปี จะมีเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของคุณเอถึง 3,000 บาท x 12 เดือน = 36,000 บาทต่อปี เลย
จะเห็นได้ว่า การออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นทำให้เงินเก็บของเราเติบโตได้เร็วขึ้นมาก เพราะมีเงินสมทบจากนายจ้างมาช่วยเพิ่ม และยังมีผลประโยชน์จากการลงทุนที่จะงอกเงยเพิ่มเติมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เงินสมทบจากนายจ้าง ส่วนใหญ่มักมีเงื่อนไขตามอายุงาน ซึ่งอาจจ่ายเป็นขั้นบันได เช่น ต้องทำงานครบ 5 ปีจึงจะได้รับเงินส่วนนี้เต็ม 100% จึงควรตรวจสอบข้อบังคับกองทุนของบริษัทตัวเองให้ดี เพื่อให้เข้าใจสิทธิประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน
สุดท้ายแล้วทางเลือกสำหรับการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อเราต้องเปลี่ยนงานนั้นก็มีหลากหลายวิธี แตกต่างกันไป และการวางแผนเกษียณผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็มีความสำคัญและมีหลากหลายตัวเลือกให้ตัดสินใจเช่นกัน หากเราจะเลือกวิธีใดก็ควรศึกษาและวางแผนการลงทุน รวมถึงสิทธิประโยชน์ของแต่ละวิธีนั้นให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และเพื่อให้เราสามารถรักษาผลประโยชน์ของเราได้อย่างสูงที่สุด
หากต้องการปรึกษาหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติม ทางธนาคารกรุงศรีมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนโดยเฉพาะ ที่สามารถปรึกษาผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่
บทความโดย
สิรภัทร์ เกาฏีระ CFP®
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา