วิธีจัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องรู้
เพื่อชีวิตสบาย

วิธีจัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องรู้

icon-access-time Posted On 11 มีนาคม 2563
By Krungsri The COACH
การเติบโตในสายอาชีพหรือการมองหาความท้าทายใหม่ ๆ ด้วยการเปลี่ยนงาน เป็นเรื่องปกติที่หลายคนเลือกทำเพื่อก้าวต่อไปในเส้นทางการทำงาน แต่ก่อนจะโบกมือลาที่ทำงานเดิม มีหนึ่งเรื่องทางการเงินที่มนุษย์เงินเดือนห้ามมองข้ามเด็ดขาด นั่นก็คือ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)” เงินออมที่คุณสะสมมาตลอดการทำงาน

เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนงาน หลายคนอาจลังเลว่าเงินก้อนนี้ควรถอนออกมาเลยดี หรือมีทางเลือกอื่นที่ให้ประโยชน์มากกว่า เพื่อช่วยให้คุณไม่พลาดสิทธิ์สำคัญและได้รับผลตอบแทนสูงสุด Krungsri The COACH ได้สรุปทุกทางเลือกในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้อย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และวางแผนการเงินในก้าวต่อไปได้อย่างราบรื่น

รู้จักกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ โดยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีข้อดีตรงที่สามารถเก็บเป็นเงินสำรองไว้ให้ลูกจ้างใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ออกจากงาน ทุพพลภาพ หรือเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัว ในกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต

โดยเงินจำนวนนี้จะมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสะสม” และเงินที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนให้อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสมทบ” แล้วนำไปฝากไว้ให้กับมืออาชีพอย่าง “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน” (บลจ.) ช่วยบริหารจัดการและนำเงินไปลงทุน เพื่อให้เงินในกองทุนของเรานั้นงอกเงย
 
pvd-management-detail

กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ หักกี่เปอร์เซ็นต์ดีถึงจะคุ้มค่าที่สุด ?

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องหักกี่เปอร์เซ็นต์ ในการหักเงินสมทบนั้น กฎหมายได้กำหนดให้ลูกจ้างสะสมได้ตั้งแต่ 2-15% ของเงินเดือน และนายจ้างสมทบเข้าเป็นประจำทุกครั้งที่จ่ายเงินเดือนให้อีกในอัตราตั้งแต่ 2-15% ตามข้อบังคับของแต่ละบริษัท เพราะฉะนั้นถ้ามองในแง่ของการลงทุนแล้ว ยิ่งเราสะสมมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น และที่สำคัญเราสามารถนำ “เงินสะสม” ที่เราสะสมในแต่ละปี ไปหักลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

จะได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืนเมื่อไร ?

โดยปกติแล้วสมาชิกกองทุนมีสิทธิได้รับเงินคืนจากกองทุนเมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ทั้งลาออกจากงาน เกษียณอายุ โอนย้ายกองทุน หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต โดยจะได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมทั้งจำนวน ส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจะได้รับตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน

จะจัดการกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรดี เมื่อลาออกจากงาน ?

เป็นธรรมดาสำหรับมนุษย์เงินเดือนหน้าใหม่อย่างเราที่เมื่อทำงานมาสักพักหนึ่งแล้ว ก็เริ่มที่จะมองหาความก้าวหน้าในชีวิต รวมถึงการเติบโตในหน้าที่การงานด้วย เพราะฉะนั้นการตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมองหาความท้าทายใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนงาน อย่าลืมที่จะรักษาสิทธิต่าง ๆ ที่เราควรได้รับจากที่ทำงานเดิม โดยเฉพาะการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากบริษัทไหนมีกองทุนนี้ให้กับพนักงาน ไม่อย่างนั้นตัวเราเองนี่แหละที่อาจจะเสียประโยชน์ได้ ซึ่งวันนี้เราได้สรุปมาให้ทุกคนทั้งหมด 3 ทางเลือกด้วยกัน
 

วิธีที่ 1 : ฝากไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิมได้

โดยจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนต่อไป แต่จะไม่มีเงินสมทบ เพื่อรอให้เราพร้อมสำหรับการโอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ หรือกองทุนรวม RMF ก็ได้ แต่มีค่าธรรมเนียมการคงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 500 บาทต่อปี
 

วิธีที่ 2 : โอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ หรือกองทุนรวม RMF

ทั้งสองกรณีนี้ไม่ต้องเสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ แต่ถ้าหากที่ทำงานใหม่ ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็จะต้องนำเงินก้อนนี้ไปไว้ที่กองทุนรวม RMF for PVD แทน ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมาศึกษากันว่ามี บลจ. ที่ไหนเปิดรับโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพบ้าง

เมื่อโอนย้ายกองทุน PVD เข้า RMF for PVD ก็สามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้แต่ต้องเป็นกองทุน RMF for PVD ด้วยกันเท่านั้น
 

วิธีที่ 3 : นำเงินออกมาลงทุนต่อเอง หรือนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น

หากมนุษย์เงินเดือนคนไหนลาออกจากงานแล้ว และอยากจะสร้างความท้าทายด้วยการนำเงินไปเริ่มต้นลงทุน หรือนำไปใช้จ่ายในเรื่องที่ต้องการ ก็ต้องมาคำนวณดูว่าเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้มาจะยื่นภาษีอย่างไร และเท่าไหร่ ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
 

1. ถ้าอายุงานน้อยกว่า 5 ปี หรือลาออกจากกองทุน แต่ไม่ได้ลาออกจากงาน


คุณจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษี และจะต้องนำเงินที่ได้ทั้ง 3 ส่วน (เงินสมทบ ผลประโยชน์ของเงินสะสม และผลประโยชน์ของเงินสมทบ) มารวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีด้วย

ยกตัวอย่างเช่น

ณ ตอนนี้เราเป็นสมาชิก PVD โดยมียอดเงินสะสมอยู่ที่ 500,000 บาท เงินสมทบ 500,000 บาท ผลประโยชน์เงินสะสม 50,000 บาท และผลประโยชน์เงินสมทบ 50,000 บาท

หากเราลาออกจากงานในตอนนี้ ต้องนำเงินได้ทั้ง 3 ส่วน คือ เงินสมทบ ผลประโยชน์เงินสะสม และผลประโยชน์เงินสมทบ มารวมกับรายได้ของเราในปีนั้น เพื่อยื่นภาษีด้วย

500,000 + 50,000 + 50,000 = 600,000 บาท
 

2. ถ้าอายุงาน 5 ปีขึ้นไป แต่อายุไม่เกิน 55 ปี


สามารถเลือกได้ว่าจะนำไปคำนวณรวมกับเงินได้ทั้งปี หรือแยกคำนวณภาษีต่างหาก โดยไม่ต้องไปรวมกับเงินได้ประจำปีก็ได้

ในกรณีที่แยกคำนวณภาษี เราสามารถนำรายได้ส่วนนี้ไปหักค่าใช้จ่ายแบบพิเศษได้ 7,000 บาทต่ออายุงาน 1 ปี ส่วนที่เหลือสามารถหักออกได้อีกครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปรวมเป็นรายได้สุทธิ

ยกตัวอย่างเช่น

ณ ตอนนี้เราเป็นสมาชิก PVD โดยทำงานมาแล้ว 5 ปี และมียอดเงินสะสมอยู่ที่ 500,000 บาท เงินสมทบ 500,000 บาท ผลประโยชน์เงินสะสม 50,000 บาท และผลประโยชน์เงินสมทบ 50,000 บาท หากเราลาออกจากงานในปีนี้ จะต้องนำเงินได้ทั้งหมดมาคำนวณภาษี ดังต่อไปนี้
  • นำเงินที่ได้จากกองทุน (เงินสมทบ + เงินผลประโยชน์ของเงินสะสมและเงินสมทบ) หักค่าใช้จ่ายพิเศษ จำนวน 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน 600,000 – (7,000 x 5) = 565,000 บาท
  • เหลือเงินได้เท่าไหร่ ให้นำไปหักออกอีกครึ่งหนึ่ง >> 565,000 – 282,500 = 282,500 บาท
  • สุดท้ายจึงนำเงินได้ที่เหลือ 282,500 บาท ไปเป็นรายได้สุทธิ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ โดยจะไม่ได้สิทธิยกเว้นภาษีสุทธิขั้นแรก 150,000 บาท
 

3. ถ้าอายุสมาชิกกองทุน 5 ปีขึ้นไป และอายุ 55 ปีขึ้นไป จะไม่ต้องเสียภาษี

แนะนำวิธีคิดเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบง่าย ๆ


เพื่อให้เห็นภาพเงินออมเพื่อการเกษียณของเราชัดขึ้น และเข้าใจว่าในแต่ละเดือนเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเราเพิ่มขึ้นเท่าไร ลองมาดูวิธีคำนวณเงินสมทบแบบง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำตามได้กัน

ตัวอย่าง : คุณเอ มีเงินเดือน 30,000 บาท และบริษัทมีนโยบายให้สะสมเงินเข้ากองทุนได้ 5% และนายจ้างจะสมทบให้อีก 5% เท่ากัน
  • คำนวณเงินสะสมของลูกจ้าง (หักจากเงินเดือนของคุณเอในแต่ละเดือน) : 30,000 บาท x 5% = 1,500 บาทต่อเดือน
  • คำนวณเงินสมทบของนายจ้าง : 30,000 บาท x 5% = 1,500 บาทต่อเดือน
  • รวมเป็นเงินเข้ากองทุนทั้งหมดต่อเดือน : 1,500 + 1,500 = 3,000 บาทต่อเดือน
  • คิดเป็นยอดรวมต่อปี (ยังไม่รวมผลตอบแทน) : ใน 1 ปี จะมีเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของคุณเอถึง 3,000 บาท x 12 เดือน = 36,000 บาทต่อปี เลย

จะเห็นได้ว่า การออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นทำให้เงินเก็บของเราเติบโตได้เร็วขึ้นมาก เพราะมีเงินสมทบจากนายจ้างมาช่วยเพิ่ม และยังมีผลประโยชน์จากการลงทุนที่จะงอกเงยเพิ่มเติมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เงินสมทบจากนายจ้าง ส่วนใหญ่มักมีเงื่อนไขตามอายุงาน ซึ่งอาจจ่ายเป็นขั้นบันได เช่น ต้องทำงานครบ 5 ปีจึงจะได้รับเงินส่วนนี้เต็ม 100% จึงควรตรวจสอบข้อบังคับกองทุนของบริษัทตัวเองให้ดี เพื่อให้เข้าใจสิทธิประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน

สุดท้ายแล้วทางเลือกสำหรับการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อเราต้องเปลี่ยนงานนั้นก็มีหลากหลายวิธี แตกต่างกันไป และการวางแผนเกษียณผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็มีความสำคัญและมีหลากหลายตัวเลือกให้ตัดสินใจเช่นกัน หากเราจะเลือกวิธีใดก็ควรศึกษาและวางแผนการลงทุน รวมถึงสิทธิประโยชน์ของแต่ละวิธีนั้นให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และเพื่อให้เราสามารถรักษาผลประโยชน์ของเราได้อย่างสูงที่สุด

หากต้องการปรึกษาหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติม ทางธนาคารกรุงศรีมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนโดยเฉพาะ ที่สามารถปรึกษาผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้ที่ปรึกษาทางด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรี ติดต่อกลับ

บทความโดย
สิรภัทร์ เกาฏีระ CFP®
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
pym logo
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา