เมื่อชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นพ่อแม่คน ให้รู้จักกับความรักโดยไม่มีข้อแม้ ชีวิตนี้ก็อยากทุ่มเทให้กับลูกอย่างเต็มที่ เป็นต้นทุนชีวิตเพื่อให้เขามีอนาคตที่สดใส ซึ่งพ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของลูก เรียกว่าชี้ชะตาลูกเลยก็ว่าได้ ดังสุภาษิตที่ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น หมายถึง ลูกย่อมไม่แตกต่างไปจากพ่อแม่ พ่อแม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นเช่นนั้น แต่ผมขอตีความใหม่ว่า ลูกจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูและการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่นั่นเอง ความคิด นิสัย บุคลิก และพฤติกรรมของลูก ล้วนถูกขัดเกลามาจากคนในครอบครัวมากกว่าคนต่างครอบครัว ดังนั้นลูกที่ได้รับต้นทุนชีวิตที่ดีก็ช่วยลิขิตอนาคตสดใสให้แก่เขาได้เลยครับ
การวางแผนสร้างต้นทุนชีวิตที่ดีให้กับลูกควรเริ่มก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้มีเวลาเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านเงินทองครับ จะได้ไม่ต้องเจอกับปัญหามีลูกยากและปัญหาไม่พร้อมมีลูก สมัยนี้เจอปัญหามีลูกยากกันเยอะเพราะความเครียดจากการทำงานและอายุเยอะร่างกายไม่สมบูรณ์พอที่จะมีลูก ส่วนปัญหาไม่พร้อมมีลูกมาจากมีเงินไม่เพียงพอเลี้ยงดู เช่น ไม่มีเงินซื้อนม ไม่มีเงินรักษา ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการของลูกได้ ดังนั้นการให้ต้นทุนชีวิตที่ดีกับลูกควรเริ่มตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนลูกเติบโตพร้อมที่จะหาเลี้ยงตนเองได้ โดยช่วงที่สำคัญที่สุดคือตอนลูกอยู่ในท้องจวบจนอายุ 5 ขวบ เพราะเป็นช่วงที่เด็กมีพัฒนาการสูงที่สุดในชีวิต
"ครอบครัวจะมีการเงินที่มั่นคงได้ก็ต่อเมื่อมีรายรับมากกว่ารายจ่าย" การวางแผนเรื่องเงินสำหรับเลี้ยงลูกต้องคิดให้ดี มีลูกหนึ่งคนใช้เงินมิใช่น้อยเผลอๆ จะหนักกว่าค่าผ่อนบ้านผ่อนรถซะอีก ยิ่งมีลูกหลายคนยิ่งต้องรอบคอบมากขึ้นอย่าให้สถานะการเงินเปราะบางจนต้องเป็นหนี้สินจ่ายไม่ไหว ครอบครัวจะมีการเงินที่มั่นคงได้ก็ต่อเมื่อมีรายรับมากกว่ารายจ่ายชัดเจน มีรายรับสม่ำเสมอ มีหนี้สินระดับที่ผ่อนจ่ายสบาย และมีเงินทองมากพอในระยะยาว ขอฝากพ่อแม่เตรียมเงินให้พร้อมสำหรับลูกน้อยที่น่ารัก นอกจากเรื่องเงินแล้วการเลี้ยงลูกยังต้องมีเวลาอบรมสั่งสอน มีเวลาอยู่เล่นกับลูก และมีความรักความอบอุ่นให้ลูกด้วยนะครับ
เรื่องที่ควรอบรมสั่งสอนลูกมีมากมาย สำหรับเรื่องการเงินก็มีความสำคัญเช่นกัน ควรสอนให้เขารู้จักคุณค่าของเงินตั้งแต่อายุยังน้อย พอลูกโตขึ้นจะได้ใช้เงินออมก้อนนี้ไปเป็นทุนเริ่มต้นชีวิต อาจใช้ไปในการศึกษาต่อ การลงทุนสร้างความมั่งคั่ง การลงทุนสร้างธุรกิจของตนเอง ฯลฯ โดยการสอนเรื่องเงินที่ได้ผลสุดควรเน้นการปฏิบัติจริงทำไปพร้อมกับลูกให้เขาเห็นและรู้สึกสนุกกับกิจกรรมการเงินที่พ่อแม่อยากปลูกฝัง จนเกิดเป็นนิสัยการเงินที่ถูกต้องเปรียบเหมือนการสร้างพิมพ์เขียวการเงิน(Financial Blueprint) ที่จะนำพาให้ชีวิตลูกพบกับความสำเร็จ ลองมาดูครับว่าเรื่องการเงินที่ควรสอนลูกมีอะไรบ้าง
1. สร้างนิสัยให้เป็นคนประหยัด
เป็นพื้นฐานสำคัญอย่างแรกซึ่งลูกจะเรียนรู้จากวิธีการใช้เงินของคุณพ่อคุณแม่ เราควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ไม่ซื้อของทุกอย่างที่อยากได้แต่เลือกแล้วว่ามีประโยชน์มีความจำเป็น ไม่ซื้อของโดยไม่ดูราคาแต่เปรียบเทียบแล้วว่าสินค้าชิ้นนี้คุ้มค่ากว่า ไม่ซื้อของด้วยรายได้ที่มีทั้งหมดแต่เก็บไว้บางส่วนสำหรับวันข้างหน้า โดยวิธีการอีกอย่างที่อยากแนะนำ คือ ใช้กระปุกหมูสอนลูกหัดเก็บเงิน ลูกจะได้เรียนรู้ว่าการหยอดกระปุกหมูทุกวันจะทำให้เขามีเงินเก็บเยอะขึ้นแล้วรู้สึกสนุกกับการเก็บเงิน
2. เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือประจำ
เก็บเงินได้สักพักก็ควรนำเงินจากกระปุกหมูมาฝากธนาคารเพื่อให้เงินงอกเงย ควรพาลูกมาด้วยให้เขาเรียนรู้วิธีการฝากเงินและเห็นเงินในบัญชีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะได้ตั้งใจออมเงิน แนะนำอีกอย่างให้ลองช่วยลูกออมเงินโดยบอกกับเขาไปว่า ถ้าลูกออมเงินครบ 1,000 บาท คุณพ่อคุณแม่จะสบทบให้เพิ่ม 1,000 บาท ซึ่งวิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้ลูกสนุกกับการออมเงินและช่วยเขาออมเงินได้ไวขึ้น
3. ออมในรูปแบบอย่างอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำใกล้เคียงเงินฝาก
คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจเพียงการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร พ่อแม่ควรศึกษาการออมรูปแบบอย่างอื่น เช่น ออมไว้ในกองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนในตลาดเงิน พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน ที่มีสภาพคล่องคล้ายบัญชีเงินฝากแต่ได้รับผลตอบแทนสูงกว่า หรือ ออมไว้ในประกันชีวิต แม้มีสภาพคล่องน้อยกว่าบัญชีเงินฝากมาก แต่ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าและได้รับความคุ้มครองชีวิตด้วย หลังจากพ่อแม่เข้าใจแล้ว ก็ลองออมเงินด้วยวิธีที่เหมาะสมไปพร้อมกับลูก เพื่อให้เงินออมก้อนนี้มีมูลค่ามากขึ้น และลูกได้เรียนรู้การออมรูปแบบอื่นๆ
4. ออมในรูปแบบอย่างอื่นที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเงินฝาก
คนรวยนิยมเก็บเงินไว้ในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ แม้ต้องเผชิญขาดทุนบ้างกำไรบ้างแต่เขาก็พร้อมเสี่ยง เพราะรู้ว่าทรัพย์สินแบบนี้ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว โดยทางเลือกในการออมการลงทุนไม่นับอสังหาริมทรัพย์ เช่น ออมไว้ในหุ้น ด้วยการคัดเลือกหุ้นที่มีผลตอบแทนดีอย่างสม่ำเสมอแล้วทยอยซื้อลงทุนไป ส่วนการสอนลูกอาจทำภาพง่ายๆ ให้ลูกเข้าใจว่าบริษัทที่ไปลงทุนทำกิจการอะไร ผลิตสินค้าชนิดไหนออกมา เพื่อช่วยให้เขาเรียนรู้เรื่องหุ้นง่ายขึ้นนั่นเอง หรือ ออมไว้ในกองทุนตราสารทุน ที่ลงในตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ มีสภาพคล่องน้อยกว่าบัญชีเงินฝากเล็กน้อยแต่ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า ซึ่งการออมไว้ในหุ้นและกองทุนตราสารทุนเป็นการออมที่มีความเสี่ยงสูงอาจแบ่งเงินเพียงบางส่วนมาลงทุนเท่านั้น
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่เปิดโอกาสให้แชร์แนวคิดต้นทุนชีวิตสำหรับอนาคตลูกรัก เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาได้รับการเลี้ยงดูที่ดีและมีความรู้เรื่องการเงินที่ถูกต้อง ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิตกันนะครับ