Roadmap สู่ความสำเร็จ วางแผนการลงทุนเพื่ออนาคตลูกรัก
เพื่ออนาคตลูก

Roadmap สู่ความสำเร็จ วางแผนการลงทุนเพื่ออนาคตลูกรัก

icon-access-time Posted On 06 ตุลาคม 2568
By Krungsri Guru
พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก โดยเฉพาะการศึกษาที่เป็นรากฐานสู่อนาคต แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนมาพร้อมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามวัยและสังคม การวางแผนการลงทุนตั้งแต่วันนี้จึงเป็นหลักประกันสำคัญ ที่ช่วยให้มั่นใจว่ามีเงินทุนเพียงพอสำหรับทุกเส้นทางที่ลูกเลือกเดิน Krungsri The COACH ขอแนะนำแนวทางการวางแผนการลงทุนสำหรับลูกรักที่ทำได้ไม่ยาก ไม่เครียดมากจนเกินไป พ่อแม่มือใหม่ก็สามารถทำได้ ตั้งแต่การตั้งเป้าหมายค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการเลือกเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเปลี่ยนความตั้งใจให้กลายมาเป็นความสำเร็จ

ทำไมพ่อแม่ถึงควรวางแผนการลงทุนให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ?

การมีลูกไม่ใช่แค่ความสุข แต่ยังมาพร้อมกับความรับผิดชอบใหญ่หลวง อนาคตของเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ เราในฐานะพ่อแม่ก็มีความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่อาจเปลี่ยนแปลง หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การวางแผนการเงินให้ลูกตามแต่ละวัยจึงไม่ใช่แค่การเก็บออม แต่คือการสร้างหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงให้พวกเขามีอนาคตที่เดินต่อไปได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“ตั้งเป้าหมายค่าใช้จ่าย” สิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนวางแผนการลงทุนให้ลูก

ก่อนจะเริ่มต้นลงทุนอะไรให้ลูก สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือการมี “เป้าหมาย” ที่ชัดเจน เพราะถ้าเรารู้ว่าต้องเตรียมเงินไว้ประมาณเท่าไหร่ ก็จะเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะกับครอบครัวเราได้ง่ายขึ้น โดยปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ของลูกก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องการศึกษา ถ้าอยากให้แผนการเงินสมจริงและครอบคลุม ควรวางแผนตั้งแต่ต้นทางของการเรียน จนถึงปลายทางที่เราอยากให้ลูกไปถึง จะได้เห็นภาพรวม โดยปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงมีหลายเรื่อง ดังนี้
  • ค่าเทอม : เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุด ควรวางแผนลักษณะโรงเรียนที่ต้องการ เช่น โรงเรียนรัฐบาล เอกชน สองภาษา หรือนานาชาติ และวางแผนเส้นทางตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยม ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยทั้งใน และต่างประเทศ
  • ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ระหว่างเรียน : นอกจากค่าเทอม ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอีกมากมายที่ต้องเตรียมพร้อม เช่น ค่าอุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน ค่าเรียนพิเศษ ค่ากิจกรรมเสริมทักษะ หรือค่าหอพักเมื่อเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัย

เพื่อให้เห็นภาพค่าใช้จ่ายชัดเจนขึ้น เราสามารถแบ่งการประเมินตามช่วงวัยของลูกได้ดังนี้

ช่วงวัยที่ 1 : วัยก่อนเข้าประถม (ตั้งแต่ก่อนอนุบาล และอนุบาล 1 - 3)

วัยนี้เป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้ของลูก ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ค่าเทอมของโรงเรียนอนุบาล ซึ่งมีความแตกต่างกันสูง หากเป็นโรงเรียนรัฐบาลอาจมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 5,000 - 15,000 บาทต่อปี แต่หากเป็นโรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนทางเลือกอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 40,000 บาท ไปจนถึง 200,000 บาทต่อปี ยังไม่รวมค่าแรกเข้า และค่ากิจกรรมอื่น ๆ

ช่วงวัยที่ 2 : วัยประถมศึกษา (ป.1 - ป.6)

ในช่วงวัยนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาจะสูงขึ้นตามระดับชั้น โดยโรงเรียนรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 10,000 - 30,000 บาทต่อปี ขณะที่โรงเรียนเอกชนอาจมีค่าเทอมตั้งแต่ 50,000 - 300,000 บาทต่อปี และโรงเรียนนานาชาติอาจเริ่มต้นที่ 400,000 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีค่าเรียนพิเศษ และกิจกรรมเสริมทักษะที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย

ช่วงวัยที่ 3 : วัยมัธยมศึกษา (ม.1 - ม.6)

เป็นช่วงวัยที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะค่าเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ค่าเทอมโรงเรียนรัฐบาลจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 - 40,000 บาทต่อปี ส่วนโรงเรียนเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000 - 400,000 บาทต่อปี และโรงเรียนนานาชาติอาจสูงถึง 500,000 - 900,000 บาทต่อปี

ช่วงวัยที่ 4 : วัยอุดมศึกษา (ปริญญาตรี-ปริญญาโท)

ค่าใช้จ่ายในระดับมหาวิทยาลัยมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับสถาบัน และคณะที่เลือกเรียน โดยมหาวิทยาลัยรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 20,000 - 50,000 บาทต่อภาคการศึกษา ขณะที่มหาวิทยาลัยเอกชน และหลักสูตรนานาชาติอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาทต่อภาคการศึกษา และหากมีแผนเรียนต่อต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึงหลักล้านบาทต่อปี

เมื่อเห็นภาพรวมค่าใช้จ่ายแต่ละช่วงวัยแล้ว หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นว่า มีค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากการศึกษาอะไรบ้าง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ “ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก 1 คนจนโต มีอะไรบ้าง ?” เพื่อการวางแผนอนาคตลูกที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญคือ ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน อย่าลืมนำ “อัตราเงินเฟ้อทางการศึกษา” ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 -5% ต่อปี มาคำนวณรวมในเป้าหมายด้วย เพื่อให้จำนวนเงินที่เตรียมไว้นั้นเพียงพอในอนาคตจริง ๆ

แนะนำ 2 แนวทางการวางแผนการลงทุนออมเงินเพื่ออนาคตลูกรัก

เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว การเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับระยะเวลา และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การวางแผนการลงทุนเพื่ออนาคตลูกประสบความสำเร็จ

แบบที่ 1 วางแผนลงทุนตามระยะความจำเป็นของการใช้เงินในแต่ละช่วงวัย

แนวทางนี้คือการแบ่งเงินออมตามช่วงเวลาที่จะต้องใช้เงิน ซึ่งทำให้เราสามารถจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงแตกต่างกันได้ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สงสัยว่า เก็บเงินให้ลูก หรือฝากเงินให้ลูกในอนาคตแบบไหนดี แนวทางนี้จะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น
  • ค่าใช้จ่ายช่วงก่อนประถม (ระยะสั้น 1-6 ปี) : เป็นเงินที่ใกล้จะต้องใช้ ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากประจำ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน และตราสารหนี้ระยะสั้น
  • ค่าใช้จ่ายช่วงประถม (ระยะกลาง 6-12 ปี) : คุณพ่อคุณแม่สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้นเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น อาจเลือกลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงปานกลาง เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว หรือหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี
  • ค่าใช้จ่ายช่วงมัธยม และอุดมศึกษา (ระยะยาว 12 ปีขึ้นไป) : ด้วยระยะเวลาลงทุนที่ยาวนาน สามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง เพื่อสร้างการเติบโตของพอร์ตในระยะยาวได้ เช่น กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนรวมผสม

แบบที่ 2 วางแผนลงทุนระยะสั้น เพื่อค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในระยะภายใน 6 ปี

อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องแบกรับภาระการออมทีเดียวก้อนใหญ่ ก็คือการออมแบบ “ล่วงหน้าทีละช่วงวัย” เช่น ตอนลูกเพิ่งเกิด เราออมเผื่อค่าใช้จ่ายช่วงประถมไว้ก่อน พอลูกเข้าเรียนประถม ก็เริ่มออมสำหรับช่วงมัธยมต่อไป วิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 6 ปีต่อรอบ จึงควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงไม่สูงมากนัก อย่างกองทุนผสม หรือกองทุนตราสารหนี้ เพื่อให้เงินต้นปลอดภัย และพร้อมใช้ทันทีเมื่อถึงเวลา

หลังจากเลือกแนวทางการลงทุนได้แล้ว ควรคำนวณว่าต้องออมเงินเดือนละเท่าไหร่เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย และควรแยกบัญชีลงทุนเพื่อลูกไว้ต่างหาก เพื่อความสะดวกในการติดตามผล พร้อมทั้งประเมิน และปรับแผนการลงทุนทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงด้วย

“ทำประกันภัย” อีกหนึ่งรูปแบบลงทุนให้ลูกที่สำคัญไม่แพ้การออม

นอกจากการลงทุนผ่านสินทรัพย์ต่าง ๆ แล้ว การทำประกันภัยถือเป็นการลงทุนในรูปแบบของการบริหารความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยปกป้องเป้าหมายทางการเงินของลูกให้คงอยู่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ประกันเพื่อการศึกษาบุตร

คือประกันชีวิตรูปแบบหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อเป็นหลักประกันด้านการศึกษาโดยเฉพาะ โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินผลประโยชน์ให้ตามช่วงวัยที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ เช่น จ่ายคืนเมื่อลูกเข้าเรียนระดับมัธยม หรือมหาวิทยาลัย และที่สำคัญหากผู้ชำระเบี้ย (พ่อแม่) เสียชีวิต กรมธรรม์จะยังคงมีผลบังคับต่อไป ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกจะมีเงินทุนเพื่อเรียนต่อจนจบตามแผนที่วางไว้

ประกันสุขภาพ

เด็กเล็กมักเจ็บป่วยได้ง่าย ค่ารักษาพยาบาลในแต่ละครั้งอาจส่งผลกระทบต่อเงินออมที่เตรียมไว้ได้ การทำประกันสุขภาพจึงช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ทำให้เงินลงทุนสำหรับเป้าหมายการศึกษายังคงอยู่ครบถ้วน ไม่ต้องถูกดึงออกมาใช้ในยามฉุกเฉิน และยังช่วยให้ลูกได้รับการรักษาที่ดีที่สุดเมื่อเจ็บป่วย

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล

อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอโดยไม่คาดคิด ประกันอุบัติเหตุจะเข้ามาช่วยคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้คุณพ่อคุณแม่อุ่นใจได้ว่าจะมีวงเงินรองรับในส่วนนี้โดยไม่กระทบกับแผนการออมเงินเพื่ออนาคตของลูกที่วางแผนไว้

6 เคล็ดลับการลงทุนเพื่อลูกให้สำเร็จ

เพื่อให้การวางแผนการลงทุนเพื่ออนาคตลูกเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือเคล็ดลับเพิ่มเติมที่สามารถนำไปปรับใช้ได้
  1. เริ่มวางแผนการลงทุนตั้งแต่วันนี้ : ยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งมีเวลาให้เงินทำงาน และได้ใช้ประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้นได้มากกว่า
  2. พิจารณาเพิ่มยอดลงทุน 3-5% ทุกปี : เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อทางการศึกษา และทำให้เป้าหมายไม่คลาดเคลื่อน
  3. ใช้วิธีการตัดบัญชีอัตโนมัติ (DCA) : จากบัญชีเงินเดือนเข้าบัญชีลงทุนสำหรับลูก เพื่อสร้างวินัยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
  4. เปิดบัญชีเพื่อการลงทุนสำหรับลูกโดยเฉพาะ : จะช่วยให้ติดตามผลการลงทุน และเห็นการเติบโตของพอร์ตได้ง่าย ไม่ปะปนกับค่าใช้จ่ายส่วนอื่น
  5. บริหารจัดการความเสี่ยงควบคู่กันไป : อย่ามองข้ามการทำประกันที่จำเป็น เพื่อสร้างตาข่ายความปลอดภัยทางการเงินให้กับครอบครัว
  6. หมั่นทบทวน และปรับแผนการลงทุนเป็นประจำทุกปี : เพื่อให้แน่ใจว่าแผนยังสอดคล้องกับเป้าหมาย และสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

สรุป

การวางแผนการลงทุนเพื่ออนาคตลูกรักไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอย่างที่คิด หากเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน เลือกแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับระยะเวลา และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ พร้อมทั้งสร้างเกราะป้องกันความเสี่ยงด้วยการทำประกันที่จำเป็น การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้แม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มาก แต่ด้วยระยะเวลา และวินัยในการลงทุน จะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง และทำให้ทุกความฝัน และอนาคตของลูกเป็นจริงได้อย่างแน่นอน


อ้างอิง
pym logo
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา