รู้สาเหตุตลาดหุ้นพุ่ง สวนทางกองทุนหุ้นนิ่ง เพราะอะไร?
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

รู้สาเหตุตลาดหุ้นพุ่ง สวนทางกองทุนหุ้นนิ่ง เพราะอะไร?

icon-access-time Posted On 22 พฤศจิกายน 2565
by Krungsri The COACH
พอเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ก็เริ่มอยากจะลงทุนในอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้เงินเพิ่มมากขึ้น คิดจะลงทุนอสังหาริมทรัพย์ก็ดูไกลตัวและยังต้องใช้เงินมหาศาล จนได้มารู้จักกองทุนหุ้นนี่แหละ ที่น่าจะตอบโจทย์สำหรับใครหลายคนที่อยากลงทุนแต่ไม่อยากใช้งบเยอะ ถ้าอยากรู้การลงทุนในกองทุนหุ้นเค้าทำกันยังไง? ต้องเริ่มจากตรงไหน? หรือต้องซื้อและขายในราคาเท่าไหร่? เรามาเริ่มทำความเข้าใจกับการแบ่งประเภทของกองทุนได้ง่าย ๆ ออกเป็น 2 รูปแบบกันตามนี้เลย
 
ประเภทของกองทุน 2 รูปแบบ

รู้จัก 2 ประเภทหลักรูปแบบกองทุน มีอะไรบ้าง?

1. กองทุนรวมหุ้นดัชนี (Passive Fund)

กองทุนประเภทนี้จะลงทุนทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี เช่น หุ้น SET 50 หรือ ดัชนี SET 50 ก็จะมีหุ้นทั้งหมด 50 ตัว โดยที่กองทุนก็จะไปลงทุนกับหุ้นทั้งหมดเลย 50 ตัว นั้นหมายความว่ากองทุนถ้ามีการขึ้นหรือลง ราคาก็จะวิ่งไปตามดัชนีเลย เพราะฉะนั้นถ้าหากนักลงทุนต้องการที่จะลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกันกับดัชนีก็ควรลงทุนหุ้นหรือกองทุนประเภทนี้

2. กองทุนรวมหุ้นเชิงรุก (Active Fund)

กองทุนรวมเชิงรุกจะมีการคัดเลือกหุ้นทั้งหมด ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือ ถ้าหากกองทุนมีหุ้นอยู่ 100 ตัว กองทุนก็จะคัดเลือกลงทุนแค่ 20 ตัว โดยที่ 20 ตัวนี้จะเป็นตัวที่คิดว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว หรือคัดเลือกอีกอย่างนึกเลยก็คือการคัดเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำความผันผวนต่ำไปเลย ราคาหุ้นที่จะขึ้นลงก็จะต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์ ขึ้นอยู่กับว่ากองทุนมีจุดประสงค์หรือนโยบายแบบไหน ซึ่งในส่วนนี้นี่แหละที่ทำให้ราคาวิ่งขึ้นลงต่ำกว่าตลาดแต่บางกองก็ขึ้นสูงกว่าตลาด

อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครอยากเข้าไปฟังแบบเต็มรวดเดียวจบ ขอแนะนำ “Krungsri The COACH Ep. 43 ตลาดหุ้นขึ้น ทำไมกองทุนหุ้นถึงไม่ขึ้นเหมือนตลาด” ไปฟังกันต่อแบบจัดเต็มได้เลย

มาต่อกันที่ เข้าใจ 3 มิติ หลักของกองทุนหุ้น

มิติแรก: ประเภทหุ้น

ซึ่งประเภทหุ้นก็มีอยู่หลากหลายประเภทมาก แต่เพื่อให้เข้าใจแบบง่าย ๆ จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
  1. หุ้น Value (หุ้นคุณค่า) คือ หุ้นที่มีราคาหรือมูลค่าต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎี (ของดี ราคาถูก) หรือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว ลักษณะเด่นของหุ้นประเภทนี้ คือ เน้นอัตราปันผลที่สูง แต่มักจะมีผลการดำเนินงานเติบโตไม่โดดเด่น หรืออาจเป็นกิจการที่มีการเติบโตเต็มที่แล้ว ทำให้คนตีราคาของหุ้นตัวนี้ต่ำมากจนไม่สนใจซื้อขายกัน จึงทำให้ราคานั้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม

    ซึ่งเกณฑ์สำคัญที่ใช้ตัดสินใจว่าหุ้นใดเป็นหุ้น Value Stock นั้น จะใช้จะมีดังต่อไปนี้
    • อัตราการจ่ายเงินปันผล (High Dividend Yield) อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่เปรียบเทียบระหว่าง “เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend per Shares)” เทียบกับ “ราคา (Price)” เมื่อมีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหรือของกลุ่มเดียวกัน ก็จะมักถูกเรียกอีกอย่างว่า “หุ้นปันผล” (Dividend Stock)
    • หุ้นที่มีการซื้อขายที่ P/E Ratio (Price to Earning Ratio) ราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ที่บริษัททำได้ในรอบปีล่าสุด ค่า P/E สามารถประมาณการจุดคุ้มทุนให้กับผู้ลงทุนได้
    • หุ้นที่มีการซื้อขายที่ P/BV Ratio (Price to Book Value) ราคาตลาดของหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ซึ่งหุ้นที่มี P/BV ต่ำ ย่อมจะดีกว่าหุ้นที่มี P/BV สูง

    ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ทำเกี่ยวกับ สบู่ แชมพู ยาสีฟัน เป็นต้น เหตุผลที่ทำไมถึงเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับของใช้อุปโภคนั้นเป็นเพราะว่า ผู้บริโภคจะต้องซื้อใช้ทุกเดือน ซึ่งนั้นทำให้บริษัทมีรายได้เข้าทุกเดือน นี้จึงเป็นลักษณะของหุ้นประเภทหุ้น Value นั้นเอง
     
    หุ้น Growth หุ้นเติบโต คืออะไร
     
  2. หุ้น Growth (หุ้นเติบโต) คือ หุ้นที่เติบโตในอัตราเร่ง 20-30% ต่อปี หรือมากกว่านั้น ทำให้สามารถดันราคาหุ้นขึ้นตามได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นหุ้นของบริษัทที่กำลังขยายกิจการ กำลังขยายตลาด กำลังเพิ่มยอดขาย ลงทุนค่อนข้างที่จะสูง โดยที่ราคาจะนำหน้าไปก่อนแล้วตามความคาดหวังที่จะเติบโต ตัวอย่างเช่น หุ้นเทคโนโลยี บริษัทรถยนต์ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นหุ้นลักษณะนี้คือหุ้นเติบโต แต่ในอนาคตถ้าหากยอดขายไม่เป็นไปตามคาดก็จะมีความเสี่ยงมากกว่า

    วิธีประเมิน หุ้น Growth
    • คุณภาพ ต้องเป็นกิจการที่มีรากฐานที่ดี เช่น ลูกค้าเกิด Brand Loyalty ต่อสินค้าและแบรนด์นั้น ๆ สินค้าสามารถขายได้ตลอดและไม่มีตกเทรนด์ง่าย ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่บริษัทหรือแบรนด์เหล่านี้มีสิทธิบัตร หรือผู้บริหารที่มีความสามารถ จะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือและความสามารถที่เหนือกว่าคู่แข่งและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
    • การเติบโต เป็นกิจการที่ควรมีแนวโน้มการเติบโตและอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนของรายได้ หรือแม้กระทั่งกำไรสุทธิ ซึ่งพิจารณาจากอัตราการเติบโตของรายได้หรืออัตราการเติบโตของกำไร
    • มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น การลงทุนซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินไป อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ดี เพราะฉะนั้น การวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหุ้นเติบโตให้ได้อย่างเหมาะสม เป็นสิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างมาก โดยที่ควรจะประเมินมูลค่าเบื้องต้น ด้วยการนำค่า P/E Ratio ของหุ้นหารกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยในระยะยาวในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า เพียงเท่านี้ก็จะรู้มูลค่าที่เหมาะสมที่ควรจะซื้อหุ้นแล้ว
กรุงศรีมีกองทุนดี ๆ มาแนะนำ สำหรับกองทุนรวมหุ้นจะเป็นในกลุ่มของ กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) จะมีความผันผวนซึ่งนำไปสู่ทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้น กองทุนรวมหุ้นจึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนระยะยาวได้ และเข้าใจว่าการขาดทุนระยะสั้นอาจเกิดขึ้นได้
 

มิติที่สอง: ขนาดหุ้นที่กองทุนจะไปลงทุน

หลัก ๆ แล้วจะแบ่งได้เป็น ขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก เช่น ถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแบบวิกฤตต้มยำกุ้ง กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ก็จะอยู่รอดได้ เวลาเจอปัจจัยลบราคาจะไม่ค่อยแกว่งเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นขนาดกลาง ขนาดเล็ก เมื่ออยู่ในสภาวะเศรษฐกิจปกติก็จะเติบโตได้ดี แต่เมื่อเจอปัจจัยลบเข้ามากระทบราคาก็เหวี่ยงทันที เพราะฉะนั้นกองทุน “ถ้าไปลงทุนในหุ้นที่ขนาดแตกต่างกัน ความเสี่ยงและความผันผวน รวมถึงโอกาสรับผลตอบแทนก็แตกต่างกันด้วย”

กรุงศรีขอแนะนำ กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตลอดจนหุ้นกู้ของภาคเอกชน เหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ คาดหวังความสม่ำเสมอของผลตอบแทน

การลงทุนยังไงก็ย่อมมีการผันผวนตามภาวะตลาด ดังนั้น การลงทุนควรเป็นไปตามระยะเวลาที่แนะนำ เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะปานกลาง ควรลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
 
กองทุนกลุ่มอุตสาหกรรม หรือเซคเตอร์ที่กองทุนไปลงทุน
 

มิติที่สาม: กลุ่มอุตสาหกรรม หรือเซคเตอร์ที่กองทุนไปลงทุน

ซึ่งบางกองทุนจะเน้นลงทุนไปในเซคเตอร์ใดเซกเตอร์หนึ่งไปเลย เช่น หุ้นเทคโนโลยี หุ้นธนาคาร หุ้นกลุ่มสุขภาพ ซึ่งในภาวะที่เศรษฐกิจแตกต่างกัน หุ้นแต่ละกลุ่มราคาก็จะขึ้นลงแตกต่างกัน แต่ว่าบางกองทุนจะไม่ได้ลงทุนเฉพาะกลุ่มแต่จะกระจายไปหลาย ๆ เซกเตอร์ โดยที่เมื่อภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอะไรก็จะไม่กระทบมากเพราะกระจายความเสี่ยง ถ้าเป็นลักษณะนี้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าแบบเฉพาะเจาะจงกลุ่มไปเลย

สำหรับกลุ่มนี้ กรุงศรีแนะนำ กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้คุณภาพดีที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบริหารสภาพคล่อง ไม่ต้องการสูญเสียเงินต้น แต่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากออมทรัพย์ทั่วไป และผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

โดยสรุปแล้วกองทุนหุ้นเชิงรุก แม้ว่าราคาอาจจะไม่ได้วิ่งขึ้นลงตามราคาตลาดก็ตาม แต่ว่าสามารถดูเป็นแนวทางได้จาก 3 มิติที่กล่าวไปข้างต้น ถ้าหากกองทุนที่คุณลงทุนเป็นกองทุนหุ้นกลุ่ม Growth ก็สามารถดูได้ว่ากลุ่มนี้ราคาในตลาดวิ่งขึ้นวิ่งลง หรือว่ากองทุนที่คุณลงเน้นลงทุนในหุ้นธนาคาร ก็สามารถเข้าไปดูได้ในหุ้นธนาคารว่าราคาวิ่งขึ้นวิ่งลงหรือเปล่า ท้ายที่สุดนี้ทุกคนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา