มีเงินเอาไปทำอะไรดี? หลายคนบอกว่า เอาไปทำธุรกิจสิ เอาไปฝากธนาคารดีกว่าปลอดภัย แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จมีสัดส่วนน้อยกว่าคนที่ล้มเหลวอยู่มาก และการทำธุรกิจต้องใช้เงินมากพอสมควร อย่างน้อยคุณก็ต้องมีเครดิต หรือสินทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารมาลงทุนในกิจการของคุณเอง หรือการฝากเงินกับธนาคารก็ลองไปดูดอกเบี้ยสิ มันต่ำขนาดไหน
ถ้ามีเงินน้อยหลักหมื่น หรือแค่หลักพัน เอาไปซื้อหุ้นได้หรือไม่? คำตอบก็คือ “ได้แน่นอน” การเปิดพอร์ตเพื่อเล่นหุ้นนั้นใช้เงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาทก็ซื้อหุ้นได้แล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนการที่เราจะซื้อหุ้นด้วยเงินน้อย ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ในปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสนับสนุนให้นักลงทุนรายย่อยเริ่มต้นลงทุน หรือ Invest Now ทำให้การลงทุนด้วยเงินน้อย ๆ นั้นสามารถทำได้ในปัจจุบัน วิธีการก็ง่ายมาก แค่เราเดินไปตามสาขาธนาคารและขอเอกสารเพื่อเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น หรือสามารถสมัครออนไลน์ ดูรายละเอียดเพิ่มที่
www.krungsrisecurities.com
แล้วเงินน้อย ๆ ควรซื้อหุ้น (เล่นหุ้น) ยังไง
หลักการของการเล่นหุ้นด้วยเงินน้อย ๆ ก็คือ ต้องหาหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นสูง แต่มีความเสี่ยงต่ำ คำถามก็คือ มันมีหุ้นแบบนั้นด้วยหรือ? คำตอบก็คือ “มี” แต่เราต้องทำการบ้านเพื่อหาหุ้นดังกล่าว โดยรูปแบบที่น่าจะประสบความสำเร็จได้สำหรับคนมีเงินน้อยมีดังต่อไปนี้
1. ซื้อหุ้นดีในราคายุติธรรม
รูปแบบนี้เราต้องเป็นนักเลือกหุ้นที่มีประสิทธิภาพ โดยเลือกหุ้นที่คุณภาพของกิจการเป็นหลัก หุ้นที่มีการเติบโตด้านรายได้ กำไร และเงินปันผล แนวคิดก็คือ หุ้นดีแต่ราคายังไม่ดี ก็จะถือว่าเป็นหุ้นที่ไม่น่าซื้อ นักลงทุนรูปแบบนี้เราจะต้องมองหาหุ้นดีในราคายุติธรรมเท่านั้น คำว่าราคายุติธรรม คือ ราคาที่เราจ่ายแล้วเหมาะสม คุ้มค่า สำหรับมือใหม่เล่นหุ้นการมองภาพราคาที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องยาก แต่การมองหาหุ้นดีนั้นไม่ยาก ให้ลองสังเกตรอบตัวเราดู เรากินอะไร ใช้อะไร ชอบไปเดินเที่ยวที่ไหน ซื้อของร้านอะไรบ้าง พฤติกรรมการซื้อการบริโภคของเราและคนรอบข้างเป็นอย่างไร ทำแบบนี้เราก็จะ “เห็น” หุ้นรอบตัวเราที่น่าลงทุนได้ไม่ยาก หลักการนี้เป็นคำแนะนำของ “ปีเตอร์ ลินซ์” ผู้จัดการกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงในระดับโลกเลยทีเดียว
2. พลังของการซื้อหุ้นแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA
คำแนะนำสำหรับวิธีนี้คงต้องใช้คำว่า “เหมาะสม” ที่สุดสำหรับคนมีเงินน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เงินเดือน หรือคนที่มีกระแสเงินสดเข้ามาแบบเรื่อย ๆ คำว่า DCA ย่อมาจาก Dollar Cost Average หรือการซื้อหุ้นแบบถัวเฉลี่ยตามรอบระยะเวลา ยกตัวอย่างเช่น เรามีกระแสเงินสดเหลือทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท หากเราจะทำ DCA ตามรอบทุกเดือนก็สามารถเลือกให้ตัดบัญชีอัตโนมัติ เลือกหุ้นที่จะซื้อเฉลี่ย เลือกวันที่จะตัด ถ้าเงินเดือนออกทุก ๆ สิ้นเดือนก็เลือกวันหลังจากเงินเดือนออก ตัดไปออมเอาไว้ในหุ้นก่อนนำไปใช้จ่าย จากสถิติสำหรับวิธีการออมด้วย DCA ถ้าเราเลือกหุ้นดีมีการเติบโต โอกาสเอาชนะตลาดหุ้นมีสูงกว่าการเก็งกำไรด้วยตนเอง เพราะการใช้วิธีนี้เป็นการตัดปัจจัยความโลภ ที่ทำให้เราเจ๊งหุ้นออกไปนั่นเอง
3. เงินน้อยแต่ใจใหญ่
แนวคิดนี้เหมาะสำหรับคนที่ศึกษาหาความรู้ด้าน
การลงทุน มาบ้างแล้ว มีความรู้ แต่เงินยังมีไม่มาก แต่อยากประสบความสำเร็จใหญ่ ลองดูวิธีเงินน้อยแต่ใจใหญ่ เมื่อเราไม่มีเงินต้องทำอย่างไร คำตอบก็คือ เราต้องมีความรู้มาก ๆ สำหรับคนที่มีเงินมาก ๆ แต่ความรู้น้อย ก็อาจเสียหาย ยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งเสียหายมาก ในทางกลับกันกับคนที่มีเงินน้อย แต่มีความรู้มาก และใจใหญ่ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ หากเราเล่นเป็นเล่นถูกตัว และสามารถทำถูกต้อง มากกว่าผิดพลาด
อย่างไรก็ตาม การที่เรามีเงินน้อยไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเริ่มต้นลงทุนหุ้น ตามสถิติในระยะยาวนั้นหุ้นที่ดี (ขอย้ำว่า หุ้นดี) สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ และผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารอย่างไม่เห็นฝุ่น แต่การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนต้องศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน แม้เงินเราจะน้อยแต่ก็มีคุณค่า อย่าทำให้เงินของเราสูญหายไปด้วยการลงทุนแบบไร้หลักการนะครับ