เคล็ดลับสร้างความมั่นคงให้ชีวิต ด้วย ปิรามิดทางการเงิน
รอบรู้เรื่องลงทุน

เคล็ดลับสร้างความมั่นคงให้ชีวิต ด้วย ปิรามิดทางการเงิน

icon-access-time Posted On 18 ธันวาคม 2568
By Krungsri The COACH
เคยรู้สึกไหมว่าในหัวเต็มไปด้วยเป้าหมายทางการเงิน ทั้งเก็บเงินดาวน์บ้าน วางแผนเที่ยว หรือการเกษียณ แต่กลับไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นจัดลำดับความสำคัญอย่างไร ? หากไม่มีแผนที่ชัดเจน เงินที่มีอยู่อาจถูกใช้ผิดทาง และทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ไกลออกไป

นี่คือเหตุผลที่แนวคิด “ปิรามิดทางการเงิน” (Financial Pyramid) เข้ามามีบทบาทสำคัญ เปรียบเสมือนแผนที่ที่ช่วยให้เราเริ่มต้นจากรากฐานที่มั่นคง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวไปสู่เป้าหมายความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบและยั่งยืน และเพื่อให้การวางแผนนี้เกิดผลจริง Krungsri The COACH จะมาแนะนำการใช้ “ปิรามิดทางการเงิน” อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณมั่นใจว่าทุกก้าวการเงินจะพาคุณไปถึงเป้าหมายได้อย่างแน่นอน

ปิรามิดการเงินคืออะไร?

ปิรามิดทางการเงิน เป็นเครื่องมือที่ช่วยในเรื่องของการวางแผนการเงินให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยใช้สำหรับการวางแผนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้เงินว่าเงินก้อนไหนควรถูกจัดไว้ในสินทรัพย์ประเภทใด ควรเก็บหรือถือครองในระยะเวลายาวนานเท่าใด ถึงจะนำมาใช้ได้ รวมไปถึงการจัดลำดับความสำคัญ การจัดลำดับการใช้เงิน การบริหารความเสี่ยง และการบริหารภาษี เป็นต้น

สิ่งแรกก่อนที่เราจะใช้ปิรามิดทางการเงินในการวางแผน คือ การตั้งเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ดี ควรระบุจำนวนเงินที่ต้องการ และระยะเวลาในการใช้เงินให้ละเอียดมากที่สุด อีกทั้งอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง เช่น ภาระหนี้สิน ความเจ็บป่วย ทั้งของตนเอง และคนในครอบครัว ที่อาจทำให้การบรรลุเป้าหมายการเงินเป็นไปได้ช้าลง

ยิ่งเราสามารถกำหนดปัจจัยต่าง ๆ ได้ละเอียดมากเท่าไหร่ เป้าหมายการเงินของเราจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น

ทำไมต้องใช้ปิรามิดทางการเงินเพื่อสร้างความมั่นคง

หัวใจของสามเหลี่ยมทางการเงิน ตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 3 ข้อ ดังนี้
 

1. เงินมักมีวัตถุประสงค์ของการใช้เงิน

เงินแต่ละก้อนที่เราหามาได้มักมีเป้าหมายกำกับอยู่เสมอ เช่น เงินสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน เงินเพื่อการศึกษาบุตร หรือเงินสำหรับวัยเกษียณ หากเรานำเงินทุกก้อนมารวมไว้ในที่เดียว ก็มีความเสี่ยงที่จะหยิบเงินสำหรับเป้าหมายระยะยาวมาใช้กับเรื่องเร่งด่วนในระยะสั้น

หลักการของพีระมิดการเงิน จึงเข้ามาช่วยจัดระเบียบโดยการแบ่งเงินออกเป็นส่วน ๆ ตามวัตถุประสงค์ ทำให้เงินแต่ละก้อนถูกเก็บอยู่ในที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย ไม่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
 

2. เงินมีระยะเวลาของการใช้เงิน

คนเรามีช่วงเวลาหาเงินที่จำกัด แต่มีช่วงเวลาใช้เงินไปตลอดชีวิต สามเหลี่ยมทางการเงินจะช่วยให้เราจัดสรรเงินตามช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเงินที่ต้องใช้ในระยะสั้น (ฐานพีระมิด) จะถูกเก็บไว้ในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง และเสี่ยงต่ำ ในขณะที่เงินสำหรับเป้าหมายระยะยาวอย่างการเกษียณ (ยอดพีระมิด) สามารถนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่งอกเงยได้เต็มที่ตามระยะเวลาที่มี
 

3. ปัจจัยเงินเฟ้อ

มูลค่าของเงิน 100 บาทในวันนี้ ย่อมไม่เท่ากับในอีก 20 ปีข้างหน้า เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น การวางแผนตามปิรามิดทางการเงินจะช่วยให้เงินของเราเติบโตทันเงินเฟ้อ โดยเฉพาะเงินในส่วนกลาง และส่วนยอดของพีระมิดที่เน้นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ จะช่วยรักษามูลค่า และความมั่งคั่งของเราไว้ได้ในระยะยาว
 
การวางแผนการเงินแบบปิรามิด

ปิรามิดทางการเงินมีกี่ชั้น ?

เรามาเจาะลึกโครงสร้างของ Financial Pyramid กัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะแบ่งออกเป็น 3 ชั้นหลัก แต่ละชั้นมีหน้าที่ และความสำคัญแตกต่างกันไป เปรียบเสมือนการสร้างตึกที่ต้องเริ่มจากฐานรากที่แข็งแรงที่สุด
 

ปิรามิดชั้นที่ 1: อุดรอยรั่วของชีวิต

ปิรามิดทางการเงินที่แข็งแกร่ง ตัวฐานจะต้องกว้างเพื่อให้ปิรามิดมั่นคง ดังนั้นฐานล่างของปิรามิดจึงเป็นส่วนที่กว้างที่สุด ซึ่งฐานรากที่มั่นคง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เงินสำรองฉุกเฉิน และการวางแผนด้านประกัน
 

1.1 เงินสำรองฉุกเฉิน


คือเงินที่เตรียมพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดังนั้นเงินก้อนนี้จึงควรเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ

เช่น ฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ หรือฝากประจำ หรือกองทุนตลาดเงิน ซึ่งมีสภาพคล่องสูง สามารถขายออกมาใช้ได้ตามที่ต้องการ และไม่เสียภาษีดอกเบี้ย 15% หรืออาจเป็นสินทรัพย์ทางเลือกอื่นที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ทองแท่ง หรือทองรูปพรรณ ก็สามารถนำมาใช้เป็นแหล่งเก็บเงินสำรองฉุกเฉินได้
 

ควรเก็บสำรองเงินฉุกเฉินไว้เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม


โดยปกติแล้วควรเก็บ 3 - 6 เท่าของรายจ่ายในแต่ละเดือน ยกตัวอย่างเช่น เรามีรายจ่ายเดือนละ 20,000 บาท จึงควรเก็บเงินสำหรับเป็นเงินสำรองฉุกเฉินที่ 60,000 - 120,000 บาท ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละอาชีพ

แต่หากเป็นอาชีพที่มีความไม่แน่นอน เช่น ฟรีแลนซ์ ดารานักแสดง หรือผู้ประกอบการอาจจะต้องกันเงินสำรองไว้ประมาณ 1 - 2 ปี เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ดังเช่น สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาที่มีผลกระทบอย่างมากต่ออาชีพเหล่านี้
 

1.2 การวางแผนด้านประกัน


การป้องกันความเสี่ยงทางการเงินทำได้ด้วย “ประกัน” ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันทรัพย์สิน ประกันอุบัติเหตุ หรือประกันโรคร้ายแรง สำหรับครอบครัวที่มีเสาหลักเพียงคนเดียว หากเกิดเหตุไม่คาดคิดย่อมกระทบต่อทุกคนในครอบครัว ดังนั้นจำนวนความคุ้มครองที่เพียงพอจึงขึ้นอยู่กับภาระและความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล

ยกตัวอย่างเช่น บางครอบครัวที่มีลูก อาจจะต้องคำนวณจากค่าใช้จ่ายในแผนการศึกษาของบุตร หรือประกันตามภาระหนี้สินของตนเองและครอบครัว เช่น หนี้บ้าน หรือหนี้สินทางธุรกิจอื่น ๆ หรืออาจจะเป็นการประกันสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาล โรคร้ายแรง ค่าชดเชยรายได้ รวมถึงประกันภัยทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น การประกันไฟไหม้

ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น และส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินที่เกินกว่าจำนวนเงินสำรองฉุกเฉินที่เรามีอยู่ อาจจะทำให้เกิดหนี้สินจากการกู้ยืมได้ โดยการวางแผนในส่วนของฐานปิรามิดนี้ไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้น แต่เป็นการวางแผนเพื่อปกป้องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เปรียบเสมือนการอุดรอยรั่วในชีวิต ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
 

ปิรามิดชั้นที่ 2: การวางแผนเพื่อสร้างความมั่นคงของชีวิต

การวางแผนความมั่นคงของชีวิต แบ่งออก เป็น 3 ระยะ คือ
 

1. การวางแผนระยะสั้น 1 – 3 ปี


เช่น วางแผนซื้อรถ วางแผนแต่งงาน เป็นต้น เมื่อความต้องการใช้เงินจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น เงินจึงต้องเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย มีสภาพคล่องสูง มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งอาจจะเก็บในรูปแบบของ เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ ทองคำ หรือกองทุนตลาดเงิน แต่ที่ที่มีความปลอดภัยสูง ก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำด้วยเช่นกัน
 

2. การวางแผนระยะกลาง 4 – 10 ปี


โดยเราสามารถวางเงินไว้ในที่ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าการวางแผนระยะสั้นได้ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น เงินในส่วนนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับอะไรบ้าง เช่น การวางแผนการศึกษาบุตร การวางแผนเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ชีวิต เช่น การท่องเที่ยว หรือการวางแผนสร้างบ้านในอนาคต โดยสินทรัพย์ที่เหมาะสมที่ควรนำเงินไปเก็บไว้เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม หรือกองทุนตราสารทุน ที่มีความเสี่ยงที่เหมาะสมได้
 

3. การวางแผนระยะยาว มากกว่า 10 ปี


เช่น การวางแผนเกษียณ โดยเงินวางแผนเกษียณถือเป็นเงินก้อนใหญ่ และมีระยะเวลานานกว่าจะถูกนำออกมาใช้ เราจึงสามารถนำเงินไปวางไว้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้ เช่น กองทุนผสม กองทุนตราสารทุน กองทุนทางเลือกต่าง ๆ เช่น กองทุนทองคำ น้ำมัน อสังหาฯ เป็นต้น เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว หรือหากเป็นคนที่ไม่อยากรับความเสี่ยงของความผันผวนของกองทุน ก็อาจจะวางแผนการเกษียณโดยการซื้อประกันชีวิตประเภทบำนาญก็ได้

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการวางแผนการส่งต่อมรดกในรูปแบบของประกัน ที่ปราศจากภาษีมรดก หรืออาจจะวางแผนในเรื่องของบำนาญให้กับตนเองไว้ใช้ในยามเกษียณ ซึ่งเราควรพิจารณาความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเราเอง และหมั่นศึกษาทำความรู้ความเข้าใจในการลงทุน เพื่อให้การลงทุนมีความปลอดภัยและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
 
การวางแผนการเงินด้วยเทคนิคปิรามิด
 

ปิรามิดชั้นที่ 3: การวางแผนเพื่อความฝันและความมั่งคั่ง

บางคนอาจจะมีความฝัน อยากซื้อบ้าน อยากมีรถในฝัน หรืออาจจะอยากท่องเที่ยวรอบโลก ชั้นนี้เลยเป็นชั้นที่ช่วยสร้างความมั่งคั่ง และเติมเต็มความฝันให้กับชีวิต ดังนั้นเราจึงควรเลือกสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เพื่อตอบโจทย์ความฝันและความมั่งคั่งของชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าหากต้องการผลตอบแทนสูงย่อมตามมาด้วยความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้นจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในประเภทของสินทรัพย์ที่เราจะลงทุน

เช่น การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีความเสี่ยงสูงหุ้น ตลาดอนุพันธ์ หรือการลงทุนทางเลือกต่าง ๆ เช่น ทองคำ อสังหาฯ หรือคริปโตเคอเรนซี ซึ่งนอกจากต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุนแล้ว สิ่งที่สำคัญคือต้องพิจารณาความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองประกอบด้วย เพื่อลดความผิดพลาดที่เกิดจากการลงทุน
 
เคล็ดลับสร้างความมั่นคงให้ชีวิต ด้วย ปิรามิดทางการเงิน

หากวางแผนการเงินตามลำดับของปิรามิด ตั้งแต่การสร้างฐานด้วยเงินสำรองฉุกเฉินและการประกันเพื่อปกป้องความเสี่ยง ต่อด้วยการวางแผนเป้าหมายการเงินระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวอย่างครบถ้วน ไม่ว่าชั้นบนสุดของปิรามิดจะเป็นอย่างไร เราก็ยังสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย ไม่กระทบมาตรฐานการครองชีพ และมีความสงบสุขทางใจ (Peace of Mind) พร้อมบรรลุวัตถุประสงค์การใช้เงินในแต่ละช่วงชีวิต

การเริ่มต้นวางแผนการลงทุน

หลังจากได้เรียนรู้เรื่องปิรามิดทางการเงินว่าในแต่ละชั้นทำหน้าที่อะไรบ้างแล้ว มักมีคำถามว่า หากเราอยากจะเริ่มลงมือวางแผนพอร์ตการลงทุนของตนเอง ควรเริ่มต้นจากตรงไหนดี เช่น ในส่วนฐานล่างของปิรามิด เราควรจะวางแผนเงินฉุกเฉิน หรือวางแผนประกันชีวิตก่อนดี ขั้นตอนที่เราควรปฏิบัติ คือ
 

1. การตรวจสอบเป้าหมายของตนเอง และปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

การวางแผนการเงินควรเริ่มจากสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ณ ตอนนี้ เช่น หากขาดสภาพคล่อง ก็ควรสร้างกองทุนฉุกเฉินก่อนเพื่อป้องกันหนี้สิน หากทำงานหรือใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง ก็ควรให้ความสำคัญกับประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุ ส่วนผู้ที่มีครอบครัวอาจต้องเริ่มจากประกันชีวิตเพื่อปกป้องคนที่รัก ขณะที่คนไม่มีภาระมากนัก ก็สามารถโฟกัสที่การวางแผนเกษียณได้เลย
 
การวางแผนการเงินและการลงทุน
 

2. ลงมือปฏิบัติตามแผนการลงทุน

การค่อย ๆ สะสม แบบ DCA (Dollar-Cost-Averaging) คือ การทยอยเก็บสะสมเป็นงวด ๆ ในราคาต้นทุนเฉลี่ย ในจำนวนเงินที่เท่า ๆ กัน ในทุก ๆ งวด โดยเราสามารถกำหนดสัดส่วนของการออมเป็น 10% - 15% ของรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือน

ยกตัวอย่างเช่น มีรายได้ 20,000 บาท แบ่งออกมา 10% ก็เท่ากับ 2,000 บาท ในแต่ละเดือน

ซึ่งประโยชน์ของการ DCA คือช่วยลดความกังวลในการหาจังหวะของการซื้อสินทรัพย์ ช่วยให้เราสามารถซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาเฉลี่ยของปีนั้น ๆ โดยต้องอาศัยวินัย และระยะเวลาในการเก็บออมสะสมที่มากพอ ซึ่งการถือครองสินทรัพย์ในระยะเวลาที่ยาวนาน ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน และสามารถชนะตลาดที่ผันผวนได้
 

3. เข้าใจกับความสามารถในการรับความเสี่ยง

ความสามารถในการรับความเสี่ยงแตกต่างกันไปตามอายุ ทัศนคติ และประสบการณ์ลงทุน คนอายุน้อยมักรับความเสี่ยงได้มากกว่า ขณะที่ใกล้เกษียณควรเน้นสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อรักษาเงินต้น แต่ถ้าไม่ชอบความเสี่ยงก็อาจเลือกกองทุนตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ใกล้เคียงเงินสด ในทางกลับกัน หากมีความรู้และประสบการณ์ ก็สามารถเปิดรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มากขึ้น

ทั้งหมดนี้คือหัวใจของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ที่ช่วยให้การบริหารเงินเป็นระบบและตอบโจทย์เป้าหมายชีวิต ปิรามิดทางการเงิน ทำให้เรามองเห็นว่าควรวางเงินไว้ตรงไหน เพื่อยืดระยะเวลาใช้ทรัพย์ให้ยาวนานและสอดคล้องกับแต่ละช่วงชีวิต เพราะเวลาหาเงินมีจำกัด แต่เวลาที่ต้องใช้เงินกลับไม่จำกัด ดังนั้นการเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมจึงสำคัญอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
pym logo
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา