เมื่อราคาทองคำแท่ง 99.99% พุ่งแตะ 53,000 บาท (ณ วันที่ 21 ก.ค. 68) จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนทองคำหรือไม่ ?” เพราะทองคำเคยถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเศรษฐกิจผันผวน แต่เมื่อราคาทองคำทำสถิติใหม่แบบนี้ ยังคุ้มหรือเปล่าที่จะซื้อเก็บไว้ ?
Krungsri The COACH จะพาคุณเจาะลึกสถานการณ์ทองคำล่าสุด พร้อมกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับสไตล์ของคุณ ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า “ควรลงทุนทองคำตอนนี้หรือไม่ ?” และ “จะลงทุนอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด”
ส่อง 4 ปัจจัยสำคัญ หนุนราคาทองคำครึ่งปีหลังของปี 2568
การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล เพราะส่วนมากแล้วราคาทองจะปรับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนทิศทางตลาด นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1. ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าซื้อทองมากกว่าขาย (Net Buyer)
หนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของราคาทองคำมาจากกลุ่มธนาคารกลางทั่วโลก โดยรายงานจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่าธนาคารกลางยังคงสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิ (Net Buyer) คือมีจำนวนการซื้อทองเข้ามามากกว่าที่ขายออก ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 15 และยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568 นี้ โดยมีธนาคารกลางของจีนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการเดินหน้าสะสมทองคำเข้าเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างแข็งขัน การเข้าซื้อปริมาณมหาศาลนี้สะท้อนความเชื่อมั่นในทองคำฐานะสินทรัพย์ที่มั่นคง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการโดยรวมสูงกว่าอุปทาน ช่วยพยุงให้ราคาทองคำยืนอยู่ในระดับสูงได้อย่างแข็งแกร่ง
2. ทิศทางดอกเบี้ยขาลง และเงินเฟ้อที่ยังสูง
แม้ธนาคารกลางหลายแห่งจะพยายามต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าสภาวะเงินเฟ้อจะกลับสู่ปกติ จึงส่งผลให้ “อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง” (Real Interest Rate) ซึ่งคืออัตราดอกเบี้ยหลังหักเงินเฟ้อ ยังคงติดลบในหลายประเทศ สภาวะเช่นนี้ทำให้การถือครองเงินสดให้ผลตอบแทนน้อยลง ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความมั่งคั่งจากภาวะเงินเฟ้อได้ดี จึงมีความน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในอนาคต ยิ่งเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนราคาทองในอนาคตให้มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้
3. ความขัดแย้งระหว่างประเทศยังคงเป็นลมหนุน
สถานการณ์โลกที่ยังคงอยู่ในหมอกควันแห่งความไม่แน่นอน ทั้งความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อ และสงครามการค้าที่ยังคุกรุ่น ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้นักลงทุนทั่วโลกมองหา “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) เพื่อเป็นหลุมหลบภัยทางการเงินในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง และทองคำก็เป็นสินทรัพย์ลำดับแรก ๆ ที่นักลงทุนนึกถึงเสมอ ความกังวลเหล่านี้เมื่อรวมกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว ยิ่งทำให้ทองคำยังคงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
4. มุมมองเชิงบวกจากผู้เชี่ยวชาญการเงิน
จากปัจจัยบวกทั้งสามข้อที่กล่าวมา ได้ตอกย้ำมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำปี 2568 จากสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งได้ปรับเป้าหมายราคาในอนาคตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น Goldman Sachs ที่ปรับเป้าหมายราคาทองคำไปถึงระดับ $3,700 ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2568 และอาจแตะ $4,000 ต่อออนซ์ในช่วงกลางปี 2569 เช่นเดียวกับ UBS ที่มองว่าทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีก มุมมองเหล่านี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า ปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดทองคำยังคงแข็งแกร่ง
คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ 2568-2569 จะไปถึงไหน ?
จากปัจจัยสนับสนุนทั้งหมด ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างคาดการณ์ราคาทอง ทั้งในตลาดโลก และในประเทศไว้อย่างน่าสนใจ ว่าราคาทองจะขึ้นอีกไหม หรือจะไปได้ไกลแค่ไหน
ภาพรวมเป้าหมายราคาทองคำตลาดโลก (Spot Gold)
จากการรวบรวมข้อมูลของสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง ประเมินว่าราคาทองคำตลาดโลก (Spot Gold) มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2569 ที่คาดว่าราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงไปถึง $3,500 ถึง $4,000 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเข้าซื้อของธนาคารกลาง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายทั่วโลกเป็นหลัก
คาดการณ์ราคาทองคำในประเทศ อาจได้เห็น 55,000 บาท
สำหรับนักลงทุนในไทย เมื่อนำราคาคาดการณ์ของตลาดโลกที่ระดับ $3,500 - $4,000 ต่อออนซ์ มาคำนวณบนอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท (USD/THB) ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะได้เห็นราคาทองคำในประเทศปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 51,500 - 55,000 บาท ต่อบาททองคำ* ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลานั้น นักลงทุนจึงควรติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด
*คำนวณโดยใช้สูตร ราคาทอง (บาท) = (ราคา Spot Gold ÷ 31.1035 (1 ทรอยออนซ์)) × 15.244 (ค่ามาตรฐานน้ำหนัก) × 0.965 (ค่าความบริสุทธิ์ทองคำไทย) × 32 (อัตราแลกเปลี่ยน THB/USD)
ไปต่อ หรือพักก่อน ? เช็กลิสต์ 3 ข้อก่อนตัดสินใจลงทุนทองคำ
เมื่อเห็นแนวโน้มเชิงบวกแล้ว หลายคนอาจอยากเข้าลงทุนทันที แต่ Krungsri The COACH อยากให้คุณหยุด
ถามตัวเองด้วยเช็กลิสต์ 3 ข้อนี้ ก่อนตัดสินใจลงทุนทองคำ
1. คุณมองทิศทางเศรษฐกิจ และดอกเบี้ยอย่างไร ?
ถ้าหากคุณเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และเป็นผลดีต่อราคาทอง หรือหากคุณมองว่าความไม่แน่นอนของโลกยังคงดำเนินต่อไป และทองคำยังจำเป็นต้องมีในฐานะที่พักเงินที่ปลอดภัย ถ้าคำตอบคือ “ใช่” อย่างน้อย 1 จากใน 2 ข้อ การลงทุนในทองคำก็ยังถือเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับคุณ
2. คุณมี “เงินเย็น” ที่พร้อมลงทุนระยะยาวหรือไม่ ?
ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น หรือเอา “เงินร้อน” มาลงทุนเนื่องจากทองคำไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย หรือเงินปันผล ผลตอบแทนจะมาจากส่วนต่างราคาเท่านั้น ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา การลงทุนในทองคำจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มี “เงินเย็น” ที่สามารถลงทุนทิ้งไว้ได้อย่างน้อย 1-3 ปีขึ้นไป โดยไม่กระทบกับสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน
3. คุณมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนแค่ไหน ?
นักลงทุนจำนวนมากซื้อทองเพราะ “กลัวตกขบวน” (FOMO) โดยไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งเสี่ยงต่อการ “ติดดอย” อย่างมากหากเข้าซื้อทั้งหมดในช่วงที่ราคาสูงไปแล้ว กลยุทธ์ที่ Krungsri The COACH แนะนำคือการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar Cost Averaging - DCA) ซึ่งเป็นการแบ่งเงินเข้าซื้อเป็นงวด ๆ เพื่อเฉลี่ยต้นทุน และลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนผิดจังหวะ
เลือกกลยุทธ์ลงทุนทองคำให้เหมาะกับสไตล์ และเป้าหมายของคุณ
ไม่มีกลยุทธ์ไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน ลองเลือกแนวทางที่เหมาะกับเป้าหมาย และสไตล์ของคุณจากตารางนี้ได้เลย
ไขข้อสงสัยที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ
Krungsri The COACH ได้รวบรวมคำถามที่นักลงทุนมักจะสงสัยเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ มาตอบให้หายข้องใจกัน
ราคาทองคำแท่งทะลุ 53,000+ บาท (21 กรกฎาคม 2568) แล้ว ซื้อตอนนี้จะติดดอยไหม ?
มีความเสี่ยงเสมอหากเข้าซื้อทั้งหมดในครั้งเดียวในขณะที่ราคาสูง แต่หากมองแนวโน้มราคาทองคําปี 2568 ในระยะยาวที่ยังเป็นขาขึ้น การใช้กลยุทธ์ทยอยซื้อ (DCA) จะช่วยเฉลี่ยต้นทุน และลดความเสี่ยงการติดดอยได้
ลงทุนกองทุนทองคำกับซื้อทองคำแท่ง แบบไหนดีกว่ากัน?
ไม่มีแบบไหนดีกว่าอย่างสมบูรณ์แบบ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ทองคำแท่ง เหมาะกับผู้ที่ต้องการถือสินทรัพย์จริงเพื่อความอุ่นใจสูงสุด ส่วนกองทุนทองคำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการสภาพคล่องสูง ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย และไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา
ควรแบ่งเงินมาลงทุนในกองทุนทองคำกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต?
โดยทั่วไปผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้มีทองคำในสัดส่วน 5-15% ของพอร์ตโฟลิโอ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สัดส่วนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้ และเป้าหมายการลงทุนของตนเอง
Krungsri The COACH แนะนำ : กองทุนเปิดกรุงศรีโกลด์เฮดจ์ ตอบโจทย์คนอยากลงทุนในทองคำ
สำหรับคนที่อยากลงทุนในกองทุนทองคำ Krungsri The COACH ขอแนะนำ กองทุนเปิดกรุงศรีโกลด์เฮดจ์ (
KF-HGOLD) โดยจะลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการทั้งหมดของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ
- ระดับความเสี่ยง : 8 (เสี่ยงสูง)
- สัดส่วนประเภททรัพย์สินที่ลงทุน (% NAV) (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568)
- เงินฝาก หรือตราสารหนี้ที่สถาบันการเงินเป็นผู้ออก 3.75%
- SPDR Gold Trust 95.91%
- ทรัพย์สินอื่น 3.85%
- หนี้สินอื่น -3.52%
จากปัจจัยทั้งหมด สรุปได้ว่า แนวโน้มราคาทองคําปี 2568 ยังคงเป็นทิศทางขาขึ้นในระยะกลางถึงยาว (6 เดือน – 3 ปี) จึงยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ “น่าสนใจ” โดยต้องลงทุนอย่างมีวินัย และความเข้าใจ หากกังวลว่าราคาสูงเกินไป การทยอยซื้อสะสม (DCA) โดยเฉพาะในช่วงราคาประมาณ 51,000 – 52,500 บาท (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด เพราะการลงทุนทองคำต้องรู้จังหวะ มีแผนที่ชัดเจน และใช้เงินเย็นที่ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน
การเลือกกองทุนควรพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป้าหมายการลงทุน และระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน | KF-HGOLD กองทุนนี้ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยบริษัทจัดการจะคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนด้วยราคาปิดของ SPDR Gold Trust ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งราคาปิด ณ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ อาจจะมีราคาที่แตกต่างจากราคาปิดของทองคำ (Gold Commodities) หรือราคาปิดของ SPDR Gold Trust ที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจจะได้ราคาหน่วยลงทุนที่แตกต่างจากราคาทองคำ หรือราคาของ SPDR Gold Trust ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ได้ ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน
หมายเหตุ : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ.กรุงศรี เท่านั้น
อ้างอิง