เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นกลับมาท่ามกลางการคลี่คลายของ Covid-19 แน่นอนว่าตัวเลขการลงทุนระหว่างประเทศเองก็เพิ่มตามมาเช่นกัน ซึ่งกองทุนที่ถูกจับตาไม่น้อยและมีความคาดหวังว่าจะกลับมาเติบโตได้อย่างมั่นคง คือกองทุนรวมที่ลงทุนภายในประเทศจีนและกองทุนรวมที่ลงทุนในสภาพยุโรป
กองทุนไหนที่เป็นดาวเด่นน่าลงทุนเพิ่มเติม เรามาเปรียบเทียบจุดเด่นและนโยบายการลงทุนชนิดกองทุนต่อกองทุน เพื่อให้ทุกท่านได้พิจารณาและเลือกลงทุนได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมที่สุด!
กองทุนจีน
กองทุน KFACHINA-A
ระดับความเสี่ยง: 6 เสี่ยงสูง
กลยุทธ์การลงทุน
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ UBS (Lux) Investment SICAV - China A Opportunity (USD) (Class P - acc) (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้น A-shares ของจีนที่จดทะเบียนหรือซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ประเทศจีน ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เสินเจิ้น
จุดเด่นของกองทุน
กองทุน KFACHINA-A มีจุดเด่นในการลงทุนกองทุนหลัก UBS (Lux) Investment SICAV - China A Opportunity ซึ่งลงทุนในตลาด A-Shares ของจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากตลาดสหรัฐ ทำให้เต็มไปด้วยหุ้นที่หลากหลายและมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทางกองทุนหลักของ KFACHINA-A ยังมีการปรับพอร์ตตามการเติบโตของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่โดยให้สัดส่วนกับกลุ่ม IT และ Heathcare มากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมภายในประเทศจีน แม้ว่าในช่วงท้ายปี 2021 ตลาดภายในจีนจะยังมีความผันผวนสูง แต่ KFACHINA-A ก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาวด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดี
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาหรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนกองทุน KFACHINA-A
กองทุน KF-CHINA
ระดับความเสี่ยง: 6 เสี่ยงสูง
กลยุทธ์การลงทุน
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ Hang Seng China Enterprises Index ETF (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตลาด H-Share
จุดเด่นของกองทุน
KF-CHINA จะให้ความสำคัญกับการลงทุนในตลาด H-Share ซึ่งเป็นตลาดฮ่องกงที่มีความเสรีและเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาด ทำให้มีสัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยสูงรวมถึงความหลากหลายของหุ้นสูงด้วย
กองทุนหลักของ KF-China มีการลงทุนในบริษัทที่คนไทยคุ้นเคยหลายบริษัท เช่น Alibaba, Tencent และ Xiaomi ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ รวมถึงบริษัทเหล่านี้ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้มีโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนจีนที่น่าจับตามอง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาหรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนกองทุน KF-CHINA
กองทุน KFCMEGA-A
ระดับความเสี่ยง: 6 เสี่ยงสูง
กลยุทธ์การลงทุน
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหุ้น และ/หรือ กองทุนรวม ETF ต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในจีน และ/หรือ มีธุรกิจหลักหรือมีรายได้ส่วนใหญ่จากการประกอบธุรกิจในจีน โดยเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเมกะเทรนด์ (Mega Trends) เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
จุดเด่นของกองทุน
กองทุน KFCMEGA-A เป็นกองทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทรนด์ใหญ่ที่กำลังมาแรง (Mega Trend) ของจีน เช่น การเติบโตของ E-Commerce ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สังคมผู้สูงอายุ หรือเทรนด์ต่างๆ ที่เป็นกำลังหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
กองทุน KFCMEGA-A ไม่ได้หยุดแค่ในประเทศจีน แต่เน้นที่หุ้นสัญชาติจีนไม่ว่าจะในตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง รวมถึงหุ้นที่จดภายในประเทศ และกองทุนให้ความสำคัญกับการยืดหยุ่นในการลงทุน ทำให้สามารถปรับพอร์ตกองทุนได้หากเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีสำคัญภายในจีน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาหรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนกองทุน KFCMEGA-A
กองทุน KF-HCHINAD
กลยุทธ์การลงทุน
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ กองทุน FSSA Greater China Growth Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
จุดเด่นของกองทุน
กองทุนหลักของ KF-HCHINAD ลงทุนในตลาดสำคัญถึง 3 ตลาด คือจีน ไต้หวัน และฮ่องกงโดยเน้นการบริหารกองทุนเชิงรุก เพื่อสร้างโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น โดยในปัจจุบันมีการลงทุนในส่วนของเทคโนโลยี และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ ภายในอนาคต
กองทุน KF-HCHINAD มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 12 ครั้งในอัตราไม่ต่ำกว่า 10% ของกำไรสุทธิ และ/หรือจ่ายจากกำไรสะสมในอัตราที่บริษัทจัดการพิจารณาเห็นสมควร
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาหรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนกองทุน KF-HCHINAD
กองทุนยุโรป
กองทุน KF-EUROPE
กลยุทธ์การลงทุน
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ กองทุน Allianz Europe Equity Growth Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80.00 ของ NAV
จุดเด่นของกองทุน
กองทุนหลัก Allianz Europe Equity Growth Fund มีผลการลงทุนที่โดดเด่น และมีการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมี Performance ที่ดีอยู่เสมอแม้ว่าจะเผชิญช่วงโรคระบาด รวมถึงมีการสร้างพอร์ตที่มีศักยภาพและพื้นฐานที่ดี
โดยการลงทุนในกองทุนหลักของ KF-EUROPE จะกระจายตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ไอที วัตถุดิบต่างๆ ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งมีระดับความเชื่อมั่นสูง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาหรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนกองทุน KF-EUROPE
กองทุน KFHEUROP-A
กลยุทธ์การลงทุน
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ กองทุน Allianz Europe Equity Growth Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80.00 ของ NAV
จุดเด่นของกองทุน
กองทุน KFHEUROP-A มีการดำเนินการไปในแนวทางเดียวกับกองทุน KF-EUROPE คือการลงทุนในกองทุนหลัก Allianz Europe Equity Growth Fund ทีกระจายตัวในหลายอุตสหกรรมแถบทวีปอยู่โรป แต่มีความแตกต่างที่ KFHEUROP-A จะเป็นการลงทุนประเภทสะสมมูลค่า
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาหรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนกองทุน KFHEUROP-A
นักลงทุนสไตล์ไหนที่เหมาะกับ กองทุนจีน หรือ ยุโรป
- นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก จะสังเกตได้ว่าความเสี่ยงของกองทุนจีนและกองทุนยุโรปส่วนมากจะอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 เสี่ยงสูง รวมถึงมีความเสี่ยงเพิ่มเติมในส่วนของการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ดังนั้นผุ้ที่เหมาะกับการลงทุนกองทุนจีน หรือยุโรป จำเป็นที่จะต้องรับความเสี่ยงในส่วนนี้ให้ได้ เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ
- นักลงทุนที่สนใจในการลงทุนเทคโนโลยี และเทรนด์ใหม่ๆ กองทุนของทั้งสองภูมิภาคต่างก็มีจุดเด่น จุดด้อย แตกต่างกันออกไป แต่ทิศทางโดยรวมสำหรับการลงทุนยังคงอิงตามเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทั้งจีนและสหภาพยุโรปกำลังพัฒนาเป็นสำคัญ หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่สนใจเทคโนโลยีต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนจีนหรือกองทุนยุโรปก็ไม่ควรพลาด
- นักลงทุนที่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศรษฐกิจต่างประเทศ เนื่องจากการซื้อขายในปัจจุบันมีโอกาสผันผวนค่อนข้างสูง นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนจีน หรือยุโรปควรมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจและนโยบายของภาครัฐ เพื่อการแบ่งสัดส่วนการลงทุนทีมีคุณภาพยิ่งขึ้น
คำเตือน
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน
- กองทุนบางส่วนลงทุนกระจุกตัวในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และทวีปยุโรป จึงอาจมีความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันผวนของค่าเงินได้
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน
สรุป
ผู้ลงทุนสามารถสังเกตได้เลยว่ากองทุนจีนและกองทุนยุโรปจะมีความแตกต่างและความคุ้มค่าต่างกันออกไป ซึ่งมีปัจจัยหลายประการ ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุน การฟื้นตัวหลังโรคระบาด รวมถึงปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ
หากคุณสนใจในการวางแผนการเงินอย่างครอบคลุม หรือต้องการคำแนะนำในการลงทุนในกองทุนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปรึกษาเราได้ที่ 02-2965959 หรือฝากข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่
บริการที่ปรึกษาทางด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรี
บทความโดย
สิรภัทร เกาฏีระ CFP®
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา